คำบรรยายโดย ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี
ถอดความโดย กัสมา บินตีดาวูด
การหลอกลวงด้วยเสียง
คำถาม : และ وَاسْتَفْزِزْ หลอกเขา หลอกด้วยอะไร?
คำตอบ : หลอก بِصَوْتِكَ ด้วยเสียง صَوْتِكَ ความหมายเบื้องต้น เสียง คือ
สิ่งหนึ่งที่ไชฏอนใช้หลอกลวงมนุษย์ ผ่านการบอกเล่าจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ)
ไชฏอนจะหลอกลวงมนุษย์ด้วยเสียง ซึ่งเราจะมาอธิบายทีหลัง
وَأَجْلِبْ عَلَيْهِم بِخَيْلِكَ وَرَجِلِكَ ..และดึงดูด
(أَجْلِبْ หมายถึง ดึงดูด) เชิญชวนในลักษณะล่อลวงด้วยการดึงดูดจิตใจ ดึงดูดความสนใจจากพวกเขาด้วย…. บิฆัยลิกา ?
คำว่า بِخَيْلكَ وَرَجِلِكَ ในอดีต หมายถึง ‘ม้าศึก’ อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง คนเดินเท้า
ด้วยกำลังม้าศึกของเจ้า ถ้าเราจะอธิบายเพื่อให้เข้าใจง่าย คือ ด้วยกองทัพและแสนยานุภาพ ซึ่งปัจจุบัน หมายถึง ด้วยญานเกราะ ด้วยกองกำลัง ด้วยกองทัพบก ฯลฯ บ่งบอกว่า ไชฏอนมีทั้งคนเดินเท้า และมีทั้งพลญานเกราะ เพราะฉะนั้นไม่ธรรมดา ถูกดึงดูดด้วยเนื้อหาเชิงการเมืองก็มีให้เห็น ทุกวันนี้ที่หลงกลไชฏอน อย่างเช่น กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียคนปัจจุบันที่ออกมาประกาศในสองสามวันที่ผ่านมา ว่า เราพร้อมแล้วที่จะให้อิสราเอลใช้ฐานทัพอากาศในซาอุดี้ในการถล่มอิหร่าน และเราก็จะร่วมถล่มด้วย
เหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียและบรรดาพวกอาหรับเกือบทั้งหมด รวมถึงบรรดาเชคอาหรับทั้งหมดต้องยอม เพราะพวกเขาเกรงกลัวต่อแสนยานุภาพของไชฏอน ของดัจญาล ซึ่งไชฏอนในอีกนิยามหนึ่ง ก็คือ อเมริกา ยะฮูดี นัศรอนี ซึ่งท่านอิมามโคมัยนี (รฮ) เรียก อเมริกาคือไชฏอนตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
ดังนั้น การหลอกลวง มีหลายรูปแบบ
บางกรณี การหลอกลวง หมายถึง ทำให้หลงใหลในวิถีชีวิตส่วนตัว
บางกรณี คือ หลอกให้หลงชีวิตทางการเมือง บางคนถูกหลอกให้หลงชีวิตในด้านอุดมการณ์ และ มุสลิมจำนวนมากที่ไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าทำหน้าที่ทางศาสนาตัวเองอย่างสมบูรณ์ หรือพูดอย่างตรงไปตรงมา คือ ทำหน้าที่ในเชิงรบ ทำหน้าที่ในเชิงญิฮาด
การที่มุสลิมบางคนไม่กล้าทำหน้าที่เหล่านี้ เพราะกลัวแสนยานุภาพของพวกมัน มุสลิมบางกลุ่มหรือประเภทมุสลิมบางพวกที่ตกเป็นทาสของไชฏอนในด้านนโยบายการเมือง
เราอย่าลืมว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้มาสอนเพียงเรื่องในชีวิตประจำวัน ชีวิตส่วนตัวของเรา แม้แต่เรื่องของไชฏอน มันก็เกี่ยวกับชีวิตการเมือง การสงคราม การปกครอง เพราะเราไม่อาจหนีจากคำนี้ได้
หากแปลในยุคโบราณ ก็คือ กองทัพม้าและกองทัพเดินเท้า خَيْلكَ وَرَجِلِكَ ทุกๆ คำแปล ผมพยายามเปิดดู ๆ ก็ไม่อาจแปลเป็นอย่างอื่นได้ ตรงนี้ หากเราจะแปลรวมก็จะได้ความหมายว่า ด้วยแสนยานุภาพ
ถามว่า ถ้าหากการเมืองของเราอยู่ภายใต้อำนาจของไชฏอน ถือว่าเรามีความผิดไหม
คำตอบ ผิด เพราะ ไชฏอนไม่ใช่ว่าหลอกให้เรากินเหล้า ทำซินา กินน้ำเมาเข้าผับเข้าบาร์ หาไม่เพียงแค่นี้ ทว่าหลอกทุกเรื่องในชีวิตของมนุษย์
บางสิ่งบางอย่าง หากวิถีชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนหรือหากอำนาจการปกครองอยู่ภายใต้อำนาจของไชฏอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งอื่นๆ ก็จะทำได้ง่ายขึ้น ไชฏอนหลอกทั้งเด็ก หลอกทั้งผู้ใหญ่ หลอกทั้งคนแก่ หลอกทั้งรัฐบาล หลอกทั้งระบบการปกครอง
นี่เป็นการอธิบายพอสังเขป ที่ยังไม่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพวกเราโดยตรง เพราะเป้าหมายที่เราเลือกบทเรียน หัวข้อนี้ เพื่อให้เราได้ใช้ประโยชน์ นำบทเรียนหรือเรื่องราวที่ได้เรียนนั้นมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ รู้จักไชฏอน จะป้องกันอย่างไร จะสู้กับมันอย่างไร ทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆเพื่อให้เราปลอดภัยจากวิธีการลวงของมัน
ไชฏอนทั้งดึงดูดคนให้มาเป็นพวก สองคำนี้ เราสรุปได้ว่าดึงคนมาเป็นพลพรรคของมันด้วยแสนยานุภาพ มันดึงดูด มันมีทุกอย่าง มีนิวเคลียร์ มีกองทัพอากาศที่ยิ่งใหญ่ มี F35 มีแฟนท่อม 2000 มีทุกสิ่งทุกอย่าง
สาเหตุที่ผู้นำประเทศในโลกอิสลามจำนวนหนึ่งยอมทรยศ ยอมขายศาสนา ยอมขายอุดมการณ์ เพราะถูกดึงดูด وَأَجْلِبْ แปลว่า ดึงดูด ดึงดูดมาด้วยแสนยานุภาพต่างๆ ที่มันมีอยู่ จำนวนมากพี่น้อง นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในส่วนที่ตรงกับเรา
สำหรับในค่ำคืนนี้ มีอีกหนึ่งประโยคที่อยากอธิบายให้ละเอียด อย่าลืมว่าวิธีนี้ไชฏอนไม่ได้พูด อัลลอฮ์ (ซบ) เป็นผู้พูด อัลลอฮ์ (ซบ) รู้ว่ามันจะใช้แผนไหน
وَشَارِكْهُمْ فِي الْأَمْوَالِ وَالْأَوْلَا และเจ้าจงไป
(ไม่ใช่ประโยคสั่ง แต่เป็นการบอกแผน เป็นการพูดในอีกลักษณะหนึ่ง)
ไปเลย ไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้น เจ้าอยากทำอะไรบ้างฉันรู้
(นี่ไม่ใช่การอธิบายอย่างละเอียด) และจงเป็นหุ้นส่วนกับพวกเขา พวกสมุนของเจ้า พวกมนุษย์ที่ตามเจ้า ที่เจ้าเป็นหุ้นส่วนกับเขา فِي الْأَمْوَالِ وَالْأَوْلَا ทั้งในทรัพย์สินและในลูกหลานของพวกเขา
จะเห็นได้ว่า คำอธิบายหัวข้อการถูกหลอกด้วยเสียง (بِصَوْتِكَ) ชัดเจนเป็นอย่างมาก หากเราถามว่าจงบอกหนึ่งตัวอย่างของการหลอกลวงมนุษย์ด้วยเสียง ที่มองเห็นชัดเจน ก็คือ เสียงดนตรี เสียงเพลง สิ่งบันเทิงต่างๆ ที่ผิดหลักศาสนา
ประการแรก อัลลอฮ์ (ซบ)ตรัสว่า สิ่งแรกเลยที่มันจะหลอกลวงมนุษย์ คือมันจะหลอกลวงมนุษย์ด้วยเสียงของมัน เอาง่ายๆ เสียงดนตรี มันทุ่มทุนอย่างมหาศาลเกี่ยวกับสิ่งนี้ ศาสตร์แห่งดนตรีนั้นเป็นศาสตร์ที่น่าพิศวงเป็นอย่างมาก ดนตรีที่ฮะร่ามนั้น คือ เสียงของไชฏอน และมันเก่งเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้
เรื่องดนตรี หากเราจะลงรายละเอียดเพิ่มเติม จะเห็นว่า ดนตรีไม่ใช่เรื่องธรรมดา ดนตรีสามารถเปลี่ยนจิตวิญญานของมนุษย์ มนุษย์ที่มียางอายจะถูกทำให้หมดยางอายได้ด้วยเสียงดนตรีประเภทหนึ่ง มนุษย์ที่มีความขี้ขลาดจะมีความกล้าหาญด้วยเสียงดนตรีประเภทหนึ่ง มนุษย์ที่มีความกล้าหาญก็อาจจะกลายเป็นคนขี้ขลาดด้วยเสียงดนตรีอีกประเภทหนึ่ง
ผมจะขอยกตัวอย่างให้พี่น้องทำความเข้าใจ เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเราจะให้ทหารออกรบเราใช้ดนตรีทำนอง เพลงมาร์ช และเมื่อเราได้ฟังเพลงมาร์ช เราเกิดความฮึกเหิมใช่ไหม
อะไรที่ทำให้เราเกิดความฮึกเหิม
คำตอบ คือ เสียงของดนตรีนั่นเอง ที่ทำให้เกิดความฮึกเหิม นี่คือคำอธิบายพอสังเขปในเรื่องศาสตร์ของดนตรี
จะเห็นได้ว่า ดนตรีเป็นหนึ่งในเรื่องที่อันตรายที่สุด ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี
ท่านชะฮีดอยาตุลลอฮ์มุเฏาะฮารีย์ได้เขียนไว้ว่า… “ถ้ากำแพงแห่งวัฒนธรรมของมนุษย์มีความเข้มแข็ง ไม่มีอาวุธใดที่จะสามารถทำลายกำแพงแห่งวัฒนธรรมอันดีงามได้ ยกเว้นเสียงดนตรี มันสามารถทำลายกำแพงแห่งวัฒนธรรมอันนั้นได้”
จะยกตัวอย่างอีก 1 กรณี
ผู้หญิง ซึ่งโดยปกติจะต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อยปิดบังซ่อนเร้น แต่ทุกวันนี้เมื่อเราเปิดดูทีวี ดูรายการถ่ายทอดสด ดูการแสดงดนตรีต่างๆ จะเห็นผู้หญิงยืนกรีดร้อง กัดนิ้ว กัดมือ ดึงเสื้ออยู่ที่หน้าเวที พวกเธอทำโดยไม่มีความอายใดๆ อะไรทั้งสิ้น
อะไรที่ทำให้ธรรมชาติของผู้หญิงเปลี่ยนไป ทั้งๆที่โดยธรรมชาติของผู้หญิงต้องมีความเหนียมอายและเจียมตัว แต่มันกลับสามารถที่ทำให้ผู้หญิงหลุดออกจากสภาวะของความสงบนิ่งของสตรีได้
คำตอบ ก็คือ “เสียงของดนตรี” สิ่งที่ไร้ยางอายต่างๆ ที่ทั้งหญิงและชายกระทำออกไปได้นั้น ก็เนื่องด้วยเสียงของดนตรีและองค์ประกอบอื่นๆ
ผมเคยศึกษา ผลการวิจัยค้นคว้าพบว่า นี่คือ หนึ่งตัวอย่าง และมันทำให้มนุษย์นั้นไร้ยางอาย ถ้าเราดูในรายละเอียด จะเห็นว่าศิลปินแต่ละคนจะมีแนวชีวิตที่แตกต่างกัน ศิลปิน ที่ว่านี้ หมายถึง นักศิลปะทางด้านดนตรี ที่สามารถเปลี่ยนจิตวิญญานของมนุษย์ได้
เสียงดนตรีบางประเภทจะทำให้มนุษย์ไร้ยางอาย บรรดาอุลามาอฺได้เขียนไว้ว่า ถึงขั้นที่มนุษย์หรือมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งสามารถที่จะมองผู้ชายอีกคนหนึ่งทำซินากับมารดาของตนเองโดยไม่มีความรู้สึกใดๆ หรือ ลูกชายคนหนึ่งสามารถที่จะนั่งมองผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำซินากับแม่ของตนเองโดยไม่มีความรู้สึกโกรธใดๆเพราะเสียงดนตรีประเภทหนึ่ง
และนี่คือเหตุผลแรกที่อัลลอฮ์ (ซบ) ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ถึงแผนของไชฎอน คือ بصوت นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เจ้าจะหลอกลวงมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่างานต่างๆที่พยายามจะทำมาโดยผ่านบรรดาสมุนของมัน ก็จะพยายามยัดเยียดเข้ามาในสังคมในชุมชน
วันนี้เราเห็นแล้วว่า ในปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ จะกำหนดวิชา เช่นมีวิชาลีลาศ วิชาดนตรี เข้ามาบังคับใช้ในการเรียน ทำให้เด็กม.1 ม.2 หรือเยาวชนคนหนุ่มสาวของเรา ถูกเนื้อต้องตัวด้วยการจับเอวและโอบกอด
ถ้าหากว่ามีใครไม่ลุกขึ้นสู้ ไม่ต่อต้าน ไม่ปฏิเสธ ก็จะได้คะแนน เป็นคะแนนที่ได้มาจากพฤติกรรม สิ่งนี้เป็นตัวทำลายจิตวิญญาณของเด็ก ยิ่งพ่อแม่ที่อ่อนแอด้วยก็หนักขึ้นไปอีก เราไม่รู้ว่าตรงนั้นจิตวิญญานนั้นได้ถูกทำลายไปสักขนาดไหนกับเสียงดนตรี
นี่คือหนึ่งในวิธีการของบรรดาไชฏอนมารร้าย เพราะฉะนั้นเราจะต้องระมัดระวังสิ่งนี้ให้มาก เราต้องตระหนักในทุกๆ เพลงที่ศาสนาไม่อนุญาต จงรู้เถิดว่าทุกๆ เพลงที่เราฟังไปนั้น มันกำลังกระหน่ำทำลายจิตวิญญานของเราอย่างหนักหน่วง โดยที่เราไม่รู้สึกตัวว่าวันหนึ่งเราจะกลายเป็นคนที่ไร้อิหม่าน เพราะดนตรีบางประเภทอาจทำให้เรากล้าที่จะทำซินา ดนตรีบางประเภททำให้เรากล้าที่จะเป็นคนดื่มเหล้า กล้าที่จะทำในสิ่งต่างๆที่อัลลอฮ์ (ซบ) ทรงห้ามเราไว้
ดังนั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดประการหนึ่ง นั่นก็คือ เสียงของไชฏอน และนั่นคือเหตุผลที่เป็นศาสตร์หนึ่งของอัลกุรอ่าน ได้เรียงลำดับแผนการของมันไว้
การเรียงลำดับแผนอันนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะลำดับแรก คือ วิธีการที่อัลลอฮ์ (ซบ)ได้เปิดเผยกับมนุษย์ ว่า ไชฏอนนั้นจะหลอกลวงเรา ด้วยเสียงของมัน และดนตรี คือ ศาสตร์ที่ถูกยอมรับ
เราจะเห็นดนตรีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในโลก จะถูกประกอบด้วยท่าเต้นต่างๆ ที่ถูกผลิตออกมา คือ การเคลื่อนไหวของมนุษย์ที่ผิดท่าผิดทางนั้นทำลายจิตวิญญานของมนุษย์ มีศาสตร์เช่นนี้อย่างมากมายและลึกซึ้ง ศาสตร์ที่สร้างมนุษย์มันก็มีอย่างมากมาย ศาสตร์ในการทำลายมนุษย์มันก็มีมากมายอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
ถ้าใครเรียนนะฮ์ญุลบาลาเฆาะฮ์ที่มัสยิดอิมามอะลี(อ) ที่สตูล ก็จะทราบดีว่า หนึ่ในซีฟัตมุตตากีนที่อิมามอะลี(อ) สอนก็คือ มุตตากีนจะต้องเดินอย่าง تواضع นอบน้อม
มนุษย์ที่เดินด้วยท่าทางที่กางเเข้งกางขาอยู่ตลอดเวลา นี่คือ ลักษณะท่าทางของคนตะกับโบร ตอนแรกจะมาแค่ท่าก่อน เมื่อท่าตะกับโบรไปนานๆ จิตวิญญานก็จะตะกับโบร แน่นอนหากมันไม่สำคัญ กุรอ่านจะไม่เน้นย้ำในสิ่งเหล่านี้ เราไม่คิดหรอกหรือ ว่าทำไมคัมภีร์อัลกุรอานถึงได้ละเอียดอ่อน แม้แต่เรื่องการเดินของมนุษย์ก็มีคำสอน จะมีศาสนาใดในโลกอีกที่ละเอียดอ่อนแม้แต่กับการเดินของมนุษย์
(وَاقْصِدْ فِي مَشْيِكَ وَاغْضُضْ مِنْ صَوْتِكَ ۚ إِنَّ أَنْكَرَ الْأَصْوَاتِ لَصَوْتُ الْحَمِيرِ)“และเจ้าจงก้าวเท้าของเจ้าพอประมาณ และจงลดเสียงของเจ้าลง แท้จริง เสียงที่น่าเกลียดยิ่งคือเสียง(ร้อง)ของลา”
(ซูเราะฮ์ลุกมาน โองการที่ 19)
(وَلَا تَمْشِ فِي الْأَرْضِ مَرَحًا ۖ إِنَّكَ لَنْ تَخْرِقَ الْأَرْضَ وَلَنْ تَبْلُغَ الْجِبَالَ طُولًا)”และอย่าเดินบนแผ่นดินอย่างเย่อหยิ่งแท้จริงเจ้าจะแยกแผ่นดินไม่ได้เลย และจะไม่บรรลุความสูงของภูเขา”
[ซูเราะฮ์ อัลอิสรออฺ โองการที่ 37]
อย่าเดินเชิดหน้า อย่าเดินบนแผ่นดินอย่างหยิ่งผยอง นี่คือสิ่งที่กุรอานสอน ไม่ว่าคุณจะเดินเชิดสักแค่ไหนก็ไม่มีทางสูงกว่าภูเขาหรอก นี่คือสิ่งที่ อัลลอฮ์ (ซบ) ตรัสไว้ในอัลกุรอาน
(وَعِبَادُ الرَّحْمَٰنِ الَّذِينَ يَمْشُونَ عَلَى الْأَرْضِ هَوْنًا)
และปวงบ่าวของพระผู้ทรงเมตตาคือ บรรดาผู้ที่เดินบนแผ่นดินด้วยความแผ่วเบา
[ [ซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน โองการที่ 63]
และบ่าวของพระผู้องค์ทรงเมตตานั้นเขาเดินบนผืนแผ่นดินนี้อย่างแผ่วเบา
คำว่า (هَوْنًا)เฮานัน มีหลากหลายความหมาย แต่ความหมายหลักของคำๆนี้ หมายถึง ความแผ่วเบา เช่นกัน
อัลกุรอานยังได้สอนผู้หญิงว่า อย่าเดินกระทืบเท้า ในระดับที่ถ้าหากมีลูกกระดิ่งอยู่ที่เท้า ถ้ามันมีเสียงนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง และก็ยังมีหลายโองการที่กล่าวถึงในลักษณะนี้