ชะฮาดัต “ท่านอิมาม มุฮัมมัด บากิร (อ)” ผู้เปิดประตูความรู้ของนบี (ตอนจบ)

116
มัจญลิสวันชะฮาดัต ท่านอิมาม มุฮัมมัด บากิร (อ) ตอนที่ ๖ ตอนสุดท้าย
บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี

 อิสลามวางอยู่บนรากฐาน ๕ ประการ
๑. การนมาซ
โครงสร้างหนึ่งที่เป็นตัวหลักในการช่วยชำระล้างจิตวิญญาณของมนุษย์ คือ การนมาซ เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์จะไม่มีวันสะอาดหากปราศจากนมาซ เราไม่รู้ว่าการนมาซจะถูกตอบรับหรือไม่ แต่ให้รู้ว่ามีการทำนมาซ เพื่อยอมจำนนต่อคำสั่งของอัลลอฮ(ซบ)ก่อน
ด้วยอานิสงส์ของการนมาซจะนำความดี ๑๐ % มาสู่เรา ดังนั้น การจะนับถือศาสนาสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์นั้น จึงดูที่การนมาซของเรา นั่นคือเหตุผลที่บอกว่า มันคือ รากฐานของอิสลาม ซึ่งในซุนนี่ก็เช่นกัน ก็มีรุกุ่นอิสลามที่สำคัญ ๕ ประการ โดยประการแรก ก็คือการนมาซเหมือนกัน แม้ข้ออื่นอาจจะแตกต่างกัน แต่เรื่องหลักคือเรื่องนมาซ
เช่นนี้แล้ว ถ้าประสงค์จะคงสภาพของการเป็นมุสลิมจนถึงวันกิยามัต อย่าได้ละทิ้งนมาซอย่างเด็ดขาด เพราะนมาซเป็นโครงสร้างสำคัญทางจิตวิญญาณ ไม่มีอะไรจะชำระล้างจิตใจของมนุษย์ให้สะอาดบริสุทธิ์ได้เท่ากับการนมาซ
ฮะดิษบทนี้ชี้ให้เห็นว่า เราต้องให้ความสำคัญกับการนมาซ จริงๆแล้วบุคคลที่ไม่นมาซนั้นฮุกุ่มของเขาคือ ฮุกุ่มของกาเฟร ฮุกุ่มผู้ที่ปฏิเสธอัลลอฮ์(ซบ) ถึงแม้ว่าฮุกุ่มด้านนอกจะไม่ใช้ แต่พึงรู้เถิดว่า คนที่ไม่นมาซและคนที่นมาซไม่ครบห้าเวลา ในวันกิยามัต เขาจะฟื้นคืนชีพในสภาพกาเฟรอย่างแน่นอน
มีฮะดิษจำนวนมากยืนยันสิ่งนี้ ซึ่งพี่น้องอะลิซซุนนะห์บางนิกายถือว่าเป็นกาเฟรจริงๆ คือ เป็นทั้งกาเฟรด้านนอกและด้านใน แต่ของเรานั้นไม่ฮุกุ่มทางด้านนอก แต่เน้นเพียงว่า ตราบใดที่ยังมีกะลีมะฮ์ชาฮาดะฮ์ก็ยังถือว่าเป็นมุสลิมอยู่
๒.ซะกาต
ซะกาตเป็นอีกโครงสร้างที่สำคัญอันหนึ่งของศาสนา ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธโครงสร้างอันนี้ มีฮะดิษจำนวนมากกล่าวว่า ผู้ที่ปฏิเสธซะกาตนั้นจะตกมุรตัด เพราะสังคมไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนได้ หากมนุษย์ไม่ยอมจ่ายทรัพย์สินของเขาในหนทางของอัลลอฮ์(ซบ)
๓.ฮัจย์
ฮัจย์ก็เป็นอีกโครงสร้างที่สำคัญอันหนึ่งในศาสนา ถ้ามนุษย์รู้จักการใช้พิธีฮัจญ์ให้เป็นประโยชน์ ปัญหาต่างๆของเขาก็จะมีทางออกและสามารถแก้ไขได้
คำถาม ทำไมรัฐบาลราชวงศ์ซาอุฯ (ขออัลลอฮ์ทรงขุดรากถอนโคนราชวงศ์นี้ให้เร็วที่สุด) จึงขัดขวางทุกอย่างทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้อิหร่านไปทำฮัจญฺอย่างเช่นในปีนี้( ฮ.ศ 1437) หรือถ้าให้ทำฮัจญเขาก็จะคุมกฎต่างๆของการทำฮัจญ์ ซึ่งสังเกตได้ว่ามีเปลี่ยนแปลงไปมาก
สาระศึกษา : เกี่ยวกับพิธีการฮัจญ์ ผมมีเตาฟีกได้ไปทำฮัจย์ 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 ปี 2535 ครั้งสุดท้ายปี 2550 ทุกๆครั้งที่ไปทำฮัจญฺจะเกิดพบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยครั้งที่ 1 ปี 2535 มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นไปแล้ว คือ ระหว่างเต็นท์ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และแอฟริกา สามารถไปมาหาสู่กันได้ คือ คนไทยจะเข้าไปเยี่ยมเต็นท์แอฟริกา เต็นท์แทนซาเนีย เต็นท์จากาตาร์ จะเข้าไปเยี่ยมเต็นท์อินโดนีเซียได้
ครั้นปีถัดมา เขาไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้าเต็นท์คนอื่น ทุกคนต้องติดบัตรเข้าเต็นท์ ตอนจะเข้าไปในเต็นท์ อินโดนีเซียก็จะต้องแสดงบัตรว่าตนเป็นคนอินโดนีเซีย ถ้าไม่แสดงบัตรว่าเป็นอินโดนีเซียจะเข้าเต็นท์ไม่ได้
คำถาม ทำไมกฎนี้เพิ่งสร้างมา ?
คำตอบ เพราะชาวอิหร่านหรือชาวชีอะฮ์ มักพบปะพูดคุย และเยี่ยมเยือนพี่น้องตามเต็นท์ต่างๆทั่วโลก เพื่อสนทนาพูดคุยทำความเข้าใจแลกเปลี่ยนความคิด และพูดคุยเรื่องสถานการณ์การเมือง ส่งผลทำให้ฟิตนะห์ต่างๆของชีอะฮ์ที่ถูกสร้างโดยซาอุฯลดลงไปมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซาอุฯจึงเปลี่ยนกฎโดยค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆบีบคั้นทุกอย่าง บางครั้งย้ายเต็นท์อิหร่านให้อยู่ไกลที่สุดให้ห่างจากประเทศอื่นๆ และเอาประเทศที่ว่าเป็นศัตรูเข้ามาอยู่แทน
ในปีต่อมา จนท้ายที่สุด ก็คือ ทำทุกวิถีทางไม่ให้อิหร่านสามารถไปทำฮัจญฺได้อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ทำฮัจย์ได้แต่ให้ไปตามกฎต่างๆที่อัปยศอดสูที่สุด
นี่คือคำตอบสุดท้าย ในประเด็นทำไมอิหร่านไม่ไปทำฮัจย์ คือเขาสร้างเงื่อนไขที่ไม่มีประโยชน์ในการไปทำฮัจย์นั่นเอง
๔. การถือศีลอด
การถือศีลอด ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของศาสนา เป้าหมายหลักก็เพื่อการขัดเกลาจิตวิญญาณของมนุษย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
๕.วิลายัต
ในการชี้ว่า รากฐานอิสลาม ที่เป็น “วิลายัต” นี้เท่านั้นที่ไม่มีในแนวทางอื่นๆ ซึ่งหากถามว่า มีความสำคัญขนาดไหน
ฮะดิษบทนี้ อิมามบากิร(อ)เริ่มทำการอธิบายอิสลามกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า “วิลายะฮ์ คือ การยอมรับอำนาจของการปกครองของอะฮลุลบัยต(อ) และใน ๕ ประการนี้ไม่มีประการใดที่ถูกเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ให้ไปสู่มันให้ยอมจำนนต่อมันเท่ากับเรื่องวิลายัต….!!!”
ดังนั้น หากจะกล่าวโดยสรุป ศาสนานี้ไม่มีเรื่องใดที่สำคัญ ที่ถูกเรียกร้อง ถูกเชิญชวนมากเท่ากับเรื่องวิลายัต
คำอธิบาย : เพื่อชี้ว่า ความสำคัญของวิลายัตนั้นสำคัญกว่านมาซ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องนมาซ…. ความสำคัญของวิลายัตสำคัญกว่าการจ่ายซะกาต ความสำคัญของวิลายัตที่ยอมรับในอำนาจแห่งอะฮลุลบัยต(อ)นั้นสำคัญกว่าการไปทำฮัจย์ และความสำคัญของวิลายัตสำคัญกว่าการถือศีลอดนั่นเอง
คำถามต่อมา ทำไม จึงเอาวิลายะฮฺไปเทียบกับ ๔ ประการนี้ (การนมาซ การจ่ายซะกาต การประกอบพิธีฮัจย์ และการถือศีลอด)
คำตอบ : เพราะ ๔ ประการนี้มุสลิมทุกนิกายยอมรับว่า เป็นรากฐานของศาสนา ผู้ใดปฏิเสธสิ่งนี้เขาคือกาเฟร บางนิกายก็เป็นกาเฟรทั้งด้านนอกและด้านใน และอนุญาตให้ฆ่าได้เลย แต่บางนิกายบอกกาเฟรจากด้านใน บางนิกายกาเฟรจากด้านนอก แต่เราจะไม่ขอเข้าไปในรายละเอียดนี้ คือ ไม่ต้องถามเรื่องอื่นๆที่นอกเหนือไปจากนี้เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
คำถาม ทำไมวิลายัตจึงเป็นสิ่งที่ถูกเรียกร้อง ??
คำตอบ เพราะมนุษย์ส่วนมากจะยึดเอา ๔ ประการเพียงเท่านั้น และทิ้ง ๑ ประการหลัก นั้นหมายความว่า นมาซแต่ไม่ยอมรับอะฮลุลบัยต(อ)
ข้อสังเกต : หากศึกษาจากประวัติศาสตร์อิสลาม จะพบว่า คนที่ฆ่าอะฮลุลบัยตฺที่กัรบาลาอฺส่วนมาก หรือเกือบทั้งหมดเขานมาซ เฉกเช่นกันคนที่สาปแช่งท่านอิมามอะลี(อ)ก็นมาซและทำการนมาซวันศุกร์อย่างเคร่งครัด
ตัวอย่าง : คุณลักษณะพิเศษของคอวาริจญ์ คือ นมาซในยามกลางคืน (นมาซตะฮัจยุด)ไม่เคยขาด ถือบวชในตอนกลางวันแต่ไม่ยอมรับในวิลายะฮ์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านอิมามบากิร(อ) จึงให้ข้อสรุปว่า “มาตรแม้นว่า ผู้หนึ่งผู้ใดถือบวชในตอนกลางวันตลอดชีวิต และไม่เคยทิ้งนมาซในยามกลางคืนตลอดมา ทว่าวันหนึ่งเมื่อเขาได้ตายไป โดยที่เขาไม่ยอมรับในวิลายัต พึงตระหนักไว้เลยว่า อะมั้ลของเขาจะไม่ถูกตอบยอมรับ”
คำอธิบาย : หมายความว่า “วิลายัต” คือ เงื่อนไขของศาสนา นมาซของคนที่ไม่ยอมรับในวิลายัตของอะฮลุลบัยต(อ)คือ นมาซที่ไม่มีประโยชน์ เป็นนมาซที่ไม่มีค่าใดๆ
บทกวีของอิมามชาฟีอี ได้ยืนยันในเรื่องนี้ โดยอิมามชาฟีอีได้กล่าวไว้ในกิตาบของท่านว่า
يَا آلَ بَيتِ رَسولِ الله حُبُّكُمُ
فَرضٌ مِنَ الله في القُرآنِ أنزَلَهُ
كَفاكُم مِن عظيمِ القَدرِ أنّكُم
مَن لَم يُصلِّ عَلَيكُم لَا صَلَاةَ لَهُ
ความหมาย : “โอ้อะฮลุลบัยต์ รอซูลุลลอฮ์…
รักพวกท่าน คือ ข้อบังคับจากอัลลอฮ ในอัลกุรอาน…
เพียงสิ่งเดียวก็เพียงพอที่จะเอ่ยถึงความยิ่งใหญ่ของพวกท่าน
มันผู้ใดมิได้ศอลาวาตให้พวกท่าน ไม่มีนมาซสำหรับเขา”
คำอธิบาย : วาทกรรมโวหารในลักษณะนี้มีอยู่มากในบรรดาอาเล็มอุลามาอฺซุนนี่ บางคนอาจจะพูดในที่ลับ บางคนอาจจะไม่กล้าเปิดเผย เพราะสถานการณ์การต่อต้านอะฮลุลบัยต์นั้น ในอดีตยังเป็นอันตรายอยู่
หากจะกล่าวโดยสรุป ท่านอิมามบากิร(อ)กำลังสอนอิสลามใหม่ว่า การนมาซเพียงอย่างเดียวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ และจะไม่มีวันถูกตอบรับ แม้นมาซไปทั้งชาติจนถึงวันกิยามัตก็จะไม่ถูกตอบรับ หากปราศจากวิลายัต ปราศจากการยอมรับในวิลายัตของอะฮลุลบัยต(อ)
วิลายัตของอะไร ??ของผู้ใด ?? แบบใด??
คำตอบ : อิมามชาฟีอีอธิบายไว้เพียงสั้นๆ ซึ่งแน่นอนที่อิมามชาฟีอีแต่งบทกลอนนี้มาได้ เป็นเพราะอิมามชาฟีอีก็เคยเรียนกับท่านอิมามบากิร(อ) ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากท่านอิมามบากิร(อ) จึงเข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง
ทว่า พูดได้หรือพูดไม่ได้ มีความกล้าที่จะพูดหรือไม่กล้าที่จะพูดนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เพราะสถานการณ์รุนแรงหนักมาก ในยุคนั้นบนีอับบาสชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าบนีอุมัยยะฮ์เป็นอย่างมาก อีกทั้งได้ทำลายกุโบร์และสุสานของบรรดาอะฮลุลบัยต(อ) จึงเห็นได้ชัดว่า พวกเขายังไม่จบศึกสงครามกับบรรดาอะฮลุลเบต(อ)
กระนั้นก็ตาม แม้ยุคสมัยหนึ่งเขายอมจำนน ทว่าอีกยุคสมัยหนึ่งเขาเอาคืน จนกระทั่งมาถึงยุคนี้ ได้มาถึงยุคที่ลูกหลานแห่งบนีอุมัยยะฮ์ขึ้นมาปกครองอย่างแท้จริง
อัลฮัมดุลิลลาฮฺสาสน์แห่งผู้นำสูงสุดได้เปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่อันนี้ โดยในสาสน์ของท่านได้เรียกราชวงศ์ซาอุว่า “ต้นไม้แห่งการถูกสาปแช่ง” และ “ต้นไม้แห่งความชั่วช้า” เมื่อวะฮาบีได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง บรรดาคอวาริจญ์แห่งยุคสมัยก็ได้กลับมาอีกครั้งเช่นกัน
ปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่า มีการทุบทำลายกุโบร์แห่งบะเกี๊ยะของท่านอิมามบากิร(อ) สืบเนื่องจากในช่วงระยะหนึ่งนั้นก่อนการทำลายกุโบร์บาเกี๊ยะ กุโบร์แห่งอะฮ์ลุลเบต(อ)นั้น เป็นที่เยี่ยมเยียนของบรรดามวลมุสลิมทั้งโลกทั้งซุนนี่ทั้งชีอะฮ์ และชื่อของท่านอิมามบากิร(อ)ก็ไม่มีมุสลิมในสายธารไหนที่ไม่รู้จัก….!!!
ในเรื่องนี้บรรดาอิมามจะเน้นย้ำเป็นอย่างมากว่า ในวาศียัตของท่านอิมามอะลี(อ)ท่านได้วาศิยัต(สั่งเสีย)แก่อิมามฮาซัน(อ)และอิมามฮูเซน(อ)ในคืนที่ท่านเป็นชะฮีด ความว่า “โอ้ลูกเอ๋ย ฉันขอสั่งเสียพวกเจ้าว่า จงมีตักวาและมี
ระเบียบในกิจการงานของเจ้า”
กอปรกับอาเล็มอุลามาอฺของเราที่ประสบความสำเร็จต่างๆในสาธารณะรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้น คือชีอะฮฺที่แท้จริง และสุดท้ายขบวนการแห่งปากกาของท่านอิมามบากิร(อ) หรือขบวนการปฏิวัติทางด้านความมรู้นั้น ศัตรูเริ่มรู้แล้วว่า ความรู้ของท่านเป็นสิ่งที่อันตรายต่อมัน ซึ่งหากปล่อยไว้จะยิ่งเป็นภัยต่อการปกครอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ “ฮิชาม บิน มาลิก” ซึ่งอยู่ในช่วงยุคปลายๆของบนีอุมัยยะฮฺที่ใกล้จะล้มสะลาย รู้แล้วว่า การเผยแพร่ของท่านอิมามบากิร(อ)นั้นเป็นอันตรายต่ออำนาจการปกครองของมัน จึงตัดสินใจลอบวางยาพิษท่านอิมามบากิร(อ) จนกระทั่งท่านได้รับตำแหน่งเป็นชะฮีด
นี่คือ ที่มาของขบวนการปฏิวัติทางความรู้ ขบวนการปฏิวัติแห่งปากกา ที่บั้นปลายก็ไปถึงตำแหน่งการเป็นชะฮีดได้
บทสรุป การเป็น “ชะฮีด” ไม่ใช่ว่า ต้องรอจับปืนและรอที่จะผูกระเบิดเพียงอย่างเดียว แต่การรับใช้ศาสนาด้วยความบริสุทธิ์ใจต่างหาก ซึ่งแม้จะเป็นการรับใช้ศาสนาในด้านความรู้ก็ตาม ทว่าพึงรู้ไว้เถิด การนำเสนอ เผยแผ่ความรู้ ก็สามารถนำมนุษย์ไปสู่การเป็นชะฮีดได้ ดั่งตัวอย่างท่านอิมามบากิร(อ.)และท่านอิมามญะอฺฟัร(อ)นั่นเอง
 มุศิบัตอิมามบากิร(อ)
ในค่ำคืนนี้จะพาพี่น้องย้อนกลับไปสู่เมืองมะดีนะห์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อดูความเป็นมัซลูมของบรรดาอะฮลุลบัยต(อ)
“มะดีนะห์” มาจากคำว่า “มะดีนะตุลรอซูล” คือเมืองของท่านนบี ซึ่งชื่อก่อนการมาของอิสลาม คือ “เมืองยัซริบ” แต่หลังจากการปรากฏตัวของรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) จึงถูกเรียกว่า ‘มะดีนะตุลรอซูล’ หรือ ‘มะดีนะตุลมูเนาวะเราะฮ์’ แปลว่า “มะดีนะห์เมืองแห่งรัศมี”
ที่มาของ “มะดีนะห์เมืองแห่งรัศมี”
สาเหตุที่เป็นเมืองแห่งรัศมี สืบเนื่องจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ และลูกหลานของท่านบรรดาอะฮฺลุลบัยต(อ)อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ อีกทั้งอะฮฺลุลบัยตผู้สูงส่ง ก็ถูกฝังอยู่ในแผ่นดินของปู่ของท่าน ทว่าในสิ่งที่ตรงกันข้ามกลับพบว่า ในค่ำคืนนี้มะดีนะห์นั้นมืดมิดเป็นอย่างมาก ซึ่งหากสังเกต จะพบว่า คนที่ไปทำฮัจย์ในห้วงนี้ เขาจะรวมตัวกัน ณ แผ่นดินมะดีนะฮ์
ทีนี้ เราย้อนกลับไปศึกษาเรื่องของพี่น้องในอดีต จะพบว่าค่ำคืนนี้มีชีอะฮ์จำนวนนับหมื่นคน ไปอ่านดุอาอฺที่กุโบร์บาเกี๊ยะ กุโบร์ที่มืดมิด กุโบร์ที่ถูกสั่งให้ดับไฟ กุโบร์ที่ล้อมรั้ว กุโบร์ที่ไม่อนุญาตให้ใครอ่านซิยารัตในตัวกุโบร์แม้แต่เพียงครั้งเดียว
เหตุผลเพราะบรรดาอะฮ์ลุลบัยต(อ)อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น ด้วยเหตุนี้ แผ่นดินมะดีนะห์ในวันนี้ จึงโศกเศร้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ทั้งๆที่วันนี้ คือ วันแห่งการรำลึกถึงลูกหลานนบี แต่พวกเขากลับไม่อนุญาตให้เยี่ยมเยียน
ดังนี้แล้ว “มะดีนะตุลรอซูล” จึงเป็นแผ่นดินที่เศร้าที่สุดในโลกอิสลาม อีกทั้งตลอดระยะเวลาในหน้าประวัติศาสตร์ เป็นที่ทราบกันดีว่าในห้วงที่ท่านรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ยังมีชีวิตอยู่ มะดีนะห์มูเนาวะเราะฮ์ เคยเป็นมะดีนะห์ที่เจิดจรัสรัศมี แต่ทว่านับตั้งแต่วันที่รอซูลลุลลอฮ์จากไป มะดีนะห์กลายเป็นเมืองแห่งความโศกเศร้า และเป็นแผ่นดินแห่งการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
  • ความเศร้าประการที่ ๑ คือ แผ่นดินที่รับร่างอันไร้วิญญาณของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ ) นั่นก็คือ ปฐมบทของความเศร้าของมะดีนะห์
  • ความเศร้าประการที่ ๒ ความเศร้าของมะดีนะห์ประการต่อมา ก็คือ ได้เห็นเหตุการณ์ การทรยศต่อคำสั่งของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ซึ่งบรรดาอะฮฺลุลบัยต(อ)ทั้งหมด และบรรดาอาเล็มอุลามาอฺได้ยืนยันว่า วันที่เศร้าที่สุดของมะดีนะห์ คือ วันที่แผ่นดินแห่งนี้ต้องรับน้ำตาของท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) วันที่ร่างของลูกสาวรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ได้ล้มลงในแผ่นดินนั้น และมะดีนะห์ได้ประจักษ์ร่างของบุตรีของรอซูลุลลฮ์(ศ็อลฯ)ถูกลากและถูกทุบตีไปในถนนและตรอกซอยต่างๆของมะดีนะห์อย่างโศกเศร้าที่สุด ในวันนั้นไม่เคยคิดว่าดอกไม้ที่สวยงามที่สุดของนบีมูฮัมหมัด(ศ็อลฯ) ดอกไม้แห่งซะฮ์รอต้องบอบช้ำในแผ่นดินมะดีนะห์
  • ความเศร้าประการที่ ๓ อีกวันโศกเศร้าแห่งมะดีนะห์ เมื่อร่างของท่านอิมาม ฮาซัน อัลมุจตาบา ได้ถูกนำไปฝัง พวกเขาได้ระดมยิงไปยังร่างที่ไร้วิญญาณของท่านอิมามฮาซัน(อ)ด้วยธนู อีกทั้งไม่อนุญาตให้ฝังท่านอิมามฮาซันอัลมุจตาบา(อ)ใกล้กับรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ด้วยสาเหตุนี้ อิมามฮาซันอัลมุจตาบา(อ) จึงถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานบาเกี๊ยะ
  • ความเศร้าประการที่ ๔ ในเวลาต่อมา เพียงไม่นานมะดีนะห์ก็ต้องรับอีกร่างหนึ่งของสายเลือดของรอซูลุลอฮ์ คือท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) หนึ่งในหลานรักของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ที่ถูกวางยาพิษและถูกฝังไว้ในแผ่นดินแห่งเมืองมะดีนะห์
  • ความเศร้าประการที่ ๕ ต่อมา แผ่นดินมะดีนะห์ก็ต้องรับอีกร่างหนึ่งผู้ซึ่งเป็นหลานของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) คือ ท่านอิมามบากิร(อ) ก็ได้ถูกวางยาพิษในน้ำมือของบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิมเช่นกัน บ่งชี้ว่า แผ่นดินแห่งนี้รับเรือนร่างของบรรดาลูกหลานของรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)
  • ความเศร้าประการที่ ๖ และแผ่นดินแห่งนี้อีกเช่นกัน ที่รับร่างที่ถูกวางยาพิษของท่านอิมามญะฟัร อัซซอดิก(อ)
เราจะพบว่า “มะดีนะห์” เคยเป็นเมืองแห่งดอกไม้ และเคยเป็นเมืองแห่งความหวานชื่น เมืองที่บรรดาลูกหลานศาสดาได้ดำเนินชีวิตอยู่ แต่หลังจากการจากไปของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ดอกไม้ต่างๆของรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) กลับถูกกระทำอย่างบอบช้ำเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งมะดีนะห์ในวันนี้คือมะดีนะห์แห่งความมืดมิด และเป็นมะดีนะห์ที่บรรดาศัตรูของอะฮลุลบัยต์​คือ ผู้ควบคุม
พี่น้องทราบหรือไม่ว่า เมื่อบรรดาวะฮาบีมีอำนาจในแผ่นดิน เมืองที่พวกมันควบคุมอย่างสมบูรณ์ที่สุดคือ เมืองมะดีนะห์ ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่ต้องการอำนาจการปกครอง และไม่ต้องการอำนาจทางการเมือง แต่มันจะต้องคุมมะดีนะห์ไว้เพื่อไม่ให้แสงแห่งรัศมีของลูกหลานรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ได้ฉายปรากฏขึ้นมา
และปัจจุบันนี้ ความชั่วช้าต่างๆนั้นได้มาถึงจุดสูงสุดของมัน จนกระทั่งผู้นำของเราได้ออกมาเปิดเผยว่าราชวงศ์นี้ คือ ราชวงศ์ที่สานต่อการงานต่างๆของบนีอุมัยยะฮ์ ซึ่งร่างของท่านอิมามบากิร(อ)ก็ได้ถูกฝังในแผ่นดินนี้เช่นกัน
โอ้มะดีนะห์เอ๋ย…เจ้าจะโศกเศร้าสักเพียงใด เจ้าต้องถามแผ่นดินกัรบาลาอฺดูว่ามันเห็นสิ่งใดบ้างในวันนั้น
กระนั้นก็ตามแม้แผ่นดินมะดีนะห์ จะรับเรือนร่างที่อาบน้ำ ที่กะฝั่น ที่คนแห่แหนกันมาเพื่อทำการฝังลูกหลานของรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)
ทว่าสิ่งที่กัรบาลาอฺเห็นนั้น มันคือความเจ็บปวดความโศกเศร้าที่ไม่เคยปรากฏขึ้น กัรบาลาอฺไม่เพียงแต่รับร่างที่ไร้วิญญาณของลูกหลานนบี แต่กัรบาลาอฺกลับรับเรือนร่างที่ไร้ศีรษะของลูกหลานนบี กัรบาลาอฺไม่เพียงแต่รับเรือนร่างของลูกหลานนบี แต่กัรบาลาอฺรองรับเศษเนื้อที่ถูกกระทำ ที่ถูกขย้ำเป็นชิ้นๆของบรรดาลูกหลานนบี และกัรบาลาอฺคือสถานที่รองรับน้ำตาของเด็กๆและสตรีแห่งลูกหลานรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)
ยาอัลลอฮ์ ด้วยบารอกัตแห่งซุลฮิจญะฮ์ ด้วยการพลีด้วยการเสียสละของท่านอิมามบากิร(อ) ขอให้พวกเราทุกๆคนเข้าใจศาสนาอันบริสุทธิ์นี้อย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด
ยาอัลลอฮ์ ด้วยสิทธิของท่านอิมามบากิร(อ) ขอให้บรรดาศัตรูต่างๆของพวกเรา ถูกทำลายด้วยเถิด
ยาอัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงมอบพลัง และวามเข้าใจให้จิตวิญญาณของพวกเราทุกๆคนอย่างสมบูรณ์ เพื่อจะได้รับใช้และปกป้องศาสนาอย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด
ยาอัลลอฮ์ ด้วยบารอกัตของท่านอิมามบากิร(อ) ขอให้ต้นไม่ที่ถูกสาปแช่ง ถูกขุดรากถอนโคนด้วยมือของพวกเราด้วยเถิด
ด้วยบารอกัตและความเสียสละของท่านอิมามบากิร(อ) ขอให้ความบารอกัตนี้มาถึงยังพวกเราทุกๆคนด้วยเถิด
ด้วยความบารอกัตในความเสียสละของท่านอิมามบากิร(อ)ขอให้พวกเราทุกคนได้รับเตาฟีกในความรู้ที่ลึกซึ้งในการนับถือศาสนาด้วยเถิด
เนื่องในบารอกัตแห่งเดือนซุลฮิจญะฮฺเดือนอันยิ่งใหญ่ เดือนอันประเสริฐ วันอันยิ่งใหญ่และด้วยกับวันชะฮาดัตของท่านอิมามบากิร(อ)นั้น ขอให้แผนการร้ายของศัตรูอิสลามนั้น กลับคืนสู่พวกมันด้วยเถิด
ด้วยบารอกัตต่างๆของอะฮฺลุลบัยต(อ) ขอพระองค์ทรงปกป้องการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านและการชี้นำของท่านอยาตุลลอฮฺ ซัยยิด อะลี คาเมเนอี ให้ยืนยาวนาน จนกระทั่งการปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮฺดี(อ.)ด้วยเถิด
ด้วยบารอกัตแห่งเดือนอันยิ่งใหญ่ บารอกัตแห่งอะฮฺลุลบัยต(อ)ขอพระองค์ทรงรีบเร่งการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮฺดี(อ)ด้วยเถิด
ยาอัลลอฮฺด้วยบารอกัตของอะฮฺลุลบัยต(อ)ขอให้พวกเราทุกๆคนได้มีส่วนร่วมรับใช้ท่านอิมามมะฮฺดี(อ)ทั้งวันที่ท่านยังไม่ปรากฏและในวันที่ท่านปรากฏตัวด้วยเถิด ยาอัลลอฮฺ…………….
จบบริบูรณ์
اللهم صل علی محمد وآل محمد وعجل فرجهم
เรียบเรียงโดย : Wanyamilah S.
ถอดบทความโดย ๑. วราภรณ์(ซัยหนับ) บินตี นาบาวี ๒.มัยซาเราะฮ์ โต๊ะหลี
หมายเหตุ : รวมการปาฐกถาพิเศษ ๒ มัจญลิส(ภูเก็ตและสตูล)