มัจญลิสวันชะฮาดัต ท่านอิมาม มุฮัมมัด บากิร (อ) ตอนที่ ๕
บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
ฮะดิษสอนใจจากท่านอิมามบากิร(อ)
แท้จริง ดีที่สุดของการรำลึก ก็คือ การนำเอาคำสอน แบบอย่างและแบบฉบับของท่านอิมามมาปฏิบัติในชีวิตของเรา ดังนั้น เกี่ยวกับการรำลึก ขอปิดท้ายด้วยฮะดิษที่เป็นคำสั่งเสียของท่านอิมามบากิร(อ) สักหนึ่งฮะดิษ เพื่อเราจะได้นำฮะดิษเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติและพัฒนาตัวตนด้วยความเข้าใจ
ท่านอิมามบากิร(อ)ได้กล่าวว่า
الکَمالُ کُلُّ الکَمالِ اَلتَفَقَّهُ في الدّين وَ الصَّبرُ عَلی النائِبَة وَ التَقديرِ المَعيشَة
ความว่า “ความสมบูรณ์ที่เหนือความสมบูรณ์ทุกประการ คือ การเรียนรู้ในบทบัญญัติของศาสนา เพื่อนำไปสู่ความอดทนและอดกลั้นต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นและความมีระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิต”
คำอธิบาย : เพื่อให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจในแง่มุมความสมบูรณ์ที่สมบูรณ์ในศาสนาคืออะไร และจะทำอย่างไรเพื่อที่เราจะได้นับถือศาสนานี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนี้แล้ว ท่านอิมามบากิร(อ)ได้สรุปไว้ว่า ใครก็ตามที่แสวงหาความสมบูรณ์ของศาสนา เขาจำต้องเรียนรู้ 3 ประการ ดังนี้
- ประการที่ ๑ : การเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง (ต้องมีตะฟักกอฮฺ)หากปราศจากการเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง แน่นอนไม่มีใครสามารถนับถือศาสนานี้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะปัญหาทั้งหมดเกิดจากคนที่ไม่เข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง หรือถ้าแปลให้เบากว่านี้ ก็คือ จงมีปัญญาในการนับถือศาสนา เพราะปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากการไม่มีปัญญาในการนับถือศาสนา ซึ่งในปัจจุบันพบว่า มีชีอะฮ์จำนวนหนึ่งไร้ซึ่งสติปัญญา ที่สืบเนื่องจากพวกเขาเชื่อโดยไม่มีปัญญา และเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญา
ตัวอย่าง ๑ : การไม่ใช้สติปัญญาในเรื่องยะมานีปลอม
เมื่อยะมานีปลอมเข้ามา พบว่า หลายคนที่ตามและหลงเชื่อยะมานีปลอม เขาไม่ได้ฉุกคิดอะไร แม้แต่น้อยเลยว่า หากไม่มีระบบวิลายะตุลฟะกิฮฺ นั้นแสดงถึง ทุกคนมีสถานะที่ใหญ่เท่ากันหมด เท่ากับว่า ศาสนาไม่มีผู้นำ ก็จะนำไปสู่การครหาว่า เป็นลัทธินี่นั่น หรือถ้าเป็นศาสนา ก็จะถูกวิพากษ์อย่างนี้หรือศาสนาที่สมบูรณ์… อย่างนี้หรือลัทธิที่สมบูรณ์
ดังนั้น การไร้ผู้นำ เท่ากับแสดงถึง เมื่อทุกคนเท่ากันหมด ประเด็นการเป็นผู้นนำ จึงแสดงถึง การไม่มีผู้นำ ซึ่งหากใช้ปัญญาสักนิด การที่เราทิ้งนิกายหนึ่งเข้ามาสู่อีกนิกายหนึ่ง สืบเนื่องจากนิกายเดิมไม่มีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ครั้นมาเป็นชีอะฮฺกลับไปหลงเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเคยทิ้งมา ดั่ง ตัวอย่างเรื่องของยะมานีปลอม ถือเป็นการอธิบายความหมายของการไม่ใช่ปัญญาในการไตร่ตรอง ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และยุคสมัย เพราะตลอดระยะเวลาในหน้าประวัติศาสตร์ จะพบกับสถานการณ์ที่ชีอะฮฺที่มีศัตรูตลอดมา
จนถึงทุกวันนี้ ศัตรูก็ยังจ้องทำลายชีอะฮฺอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งหากศึกษาสถานการณ์ในอดีต จะเห็นว่า ยุคสมัยหนึ่งพวกเขาเข่นฆ่าผู้นำ ไล่ล่าตามฆ่าผู้นำจนหมด ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ(ซบ) จำเป็นต้องเอาผู้นำคนสุดท้ายไปเก็บซ่อนไว้ ครั้นเมื่อศัตรูศาสนาไล่ล่าตามฆ่าผู้นำไม่ได้ เขาก็ตามล่าบรรดาสาวกแทน
ซึ่งเป็นที่ชัดแจ้ง ตลอดทุกยุคทุกสมัย จะมีชีอะฮฺถูกตามล้างตามฆ่า
ดังนี้แล้ว จึงชี้ให้เห็นว่า แนวทางซึ่งมีศัตรูทุกยุคทุกสมัย หากปราศจากผู้นำและไม่มีผู้ปกป้องที่มีอำนาจชี้ขาดได้อย่างเบ็ดเสร็จ เป็นไปได้หรือที่จะเป็นแนวทางที่สมบูรณ์
สาระศึกษา : การเชื่ออะไรแบบง่ายๆ แสดงถึงการนับถือศาสนาแบบไม่ใช่สติปัญญา วันดีคืนดีมีการบอกว่าตัวแทนของท่านอิมามปรากฏตัวแล้ว ในขณะที่ใบหน้าของเขาเป็นแบบไหน เราก็ไม่เคยเห็น แต่กลับมีชีอะฮ์บางคนหลงเชื่อว่า ตัวแทนอิมามปรากฏตัวแล้ว ซึ่งพวกเขาใช้สมองส่วนไหนคิด ในการยอมรับผู้นำที่ไม่เคยมีประวัติใดๆแม้แต่น้อย อีกทั้งอยู่ในมุมมืดที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมันย้อนแย้งกับการประกาศตัวว่าตนเป็นตัวแทนของท่านอิมามมะฮฺดี(อ)อย่างเป็นทางการ
ในทางกลับกัน หากเรากล่าวว่า ท่านอิมามโคมัยนี(รฏ.)และท่านอยาตุลลอฮฺ คามาเนอี เป็นตัวแทนของอิมามมะฮฺดี(อ)พวกนี้จะโกรธขึ้นมาทันที แต่สำหรับพวกเขา ที่หลงเชื่อใครก็ไม่รู้ เพียงคนนั้นแค่สำเร็จการศึกษาด้านสถาปนิก พวกเขากลับยอมรับและมั่นใจว่าเป็นตัวแทนของอิมามมะฮฺดี(อ)ในทันที หากจะกล่าวโดยสรุป การนับถือศาสนาโดยไม่ใช่สติปัญญานั้นจะทำให้มนุษย์ล่มจม ดังนั้น ในการนับถือศาสนานี้ ถ้าเราจะเชื่อในเรื่องราวของยะมานี เราก็จะต้องศึกษารายละเอียดของเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เพราะตามรายงานระบุว่า หาก “ยะมานี” ประกาศตัว จริงๆแล้วอย่างเร็วที่สุด ภายในเวลา 1 ปีท่านอิมามมะฮฺดี(อ)จะต้องปรากฏตัวและอย่างช้าที่สุดคือ ภายในเวลา 3 ปี
เห็นได้ว่า รายงานที่ระบุสวนทางกับความเชื่อของชีอะฮ์ที่ไม่ใช้สติปัญญาอย่างชัดเจน เพราะความเชื่อของเขา นอกจากถูกประกาศมามากกว่า 10 ปีแล้ว พวกเขายังเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า ตัวแทนอิมามเข้ามาในเมืองไทยเป็นเวลา 5 ปีแล้วด้วย พวกเขาไม่สงสัยเลยหรือว่า ทำไมท่านอิมามมะฮฺดี(อ)ถึงยังไม่ปรากฏตัวและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ที่ไหน แน่นอนคนที่เชื่อเรื่องราวเช่นนี้ ก็คือ บุคคลที่ไม่ใช้สติปัญญานั่นเอง
ในความเป็นจริงแล้ว สติปัญญาที่ว่านี้ ก็ยังไม่ใช่การตะฟักกอฮฺ (ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง)ด้วยซ้ำไป และยังไม่ใช่ความลึกซึ้งทางศาสนาด้วย แต่เป็นการใช้สติปัญญาขั้นก้าวแรก หรือเรียกว่า บันไดแรกที่จะทำให้พี่น้องมีตะฟักกอฮฺในศาสนา ที่จะนำไปสู่การมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในศาสนา
ดังนั้น สิ่งที่ต้องตระหนักในคำสั่งสอนของท่านอิมามบากิร(อ)ทุกเรื่องในชีวิตจะต้องใช้สติปัญญาทางศาสนา ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เขาจะต้องทำหน้าที่ ทำการศึกษา และทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้
คำถาม : ทำไมสาวกในสำนักคิดของท่านอิมามบากิร(อ.)ถึงฉลาดเช่นนี้
คำตอบ : เพราะคำสั่งสอนของท่านอิมาม(อ) กล่าวว่า “การนับถือศาสนาโดยปราศจากการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายศาสนาที่นับถืออยู่นั้นต้องล่มจม”
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่สำหรับทุกคน จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ หาข้อมูลเพิ่มเติม ทำความเข้าใจจากหนังสือ จากผู้รู้หรือวิธีหนึ่งวิธีใดก็แล้วแต่ ที่จะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องราวของศาสนาของเรา และเราอย่าใช้ชีวิตวันๆโดยไร้ประโยชน์
- ▶️ประการที่ ๒ : “อัซซอบรู อะลันนาอิบะฮฺ” (ความอดทนและอดกลั้น) ต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้าขาดความอดทนในการทดสอบ การนับถือศาสนาก็จะไม่สมบูรณ์
หากถามว่า ทำไมเรื่องความอดทนในการทดสอบจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในแนวทางนี้ อีกทั้งทำไมท่านอิมามบากิร(อ)จึงบอกว่า นี่คือหนึ่งในความสมบูรณ์ของศาสนา ซึ่งหากขาด ๑ใน ๓ ประการนี้ การนับถือศาสนาของพวกเจ้าจะไม่สมบูรณ์ ซึ่งประการแรกเราได้อรรถาธิบายไปแล้ว นั่นก็คือ ต้องมีตะฟักกอฮฺ( การเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้ง)
คำถามต่อมา แล้วทำไมต้องมีประการที่ ๒ ด้วย ?
คำตอบ เพราะศาสนานี้คือ ศาสนาแห่งการทดสอบ แนวทางนี้คือ แนวทางแห่งมูศิบัต แนวทางนี้คือแนวทางที่มีศัตรูมากมาย ศาสนาที่ผู้คนรอที่จะรุมกินโต๊ะจนถึงทุกวันนี้ ศาสนาที่มีคนเกลียดแค้นชิงชัง คนที่ขาดความอดทน(ซอบัร)ในศาสนานี้จะยืนหยัดอยู่ไม่ได้ ที่สืบเนื่องจากการทำลายล้างนั้นมีหลายหลายรูปแบบ
ดังนั้น ถ้าเราอยู่ในหนทางนี้แล้ว สิ่งที่จะเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา คือ ความอดทน ซึ่งบรรดาอิมามทุกท่านก็ได้แสดงแบบอย่างแห่งการอดทนมาแล้ว บรรดาสาวกที่แท้จริงก็เช่นกัน เพราะปราศจากความอดทนแล้วไม่มีใครที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ในแนวทางนี้ได
ประการที่ ๓ : “วะตักดีริ มะอีชะฮฺ” (การดำเนินชีวิตอย่างมีระบบระเบียบ)
คำอธิบาย : หมายความว่า บรรดาชีอะฮฺคือ บุคคลที่ต้องมีกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตทุกเรื่อง ทั้งในเรื่องศาสนาและดุนยา บางครั้งเพราะความผิดพลาดทางดุนยาทำให้ศาสนาของเราพัง บางครั้งความผิดพลาดทางอาคิเราะฮฺ เช่น ไม่ให้ความสำคัญกับนมาซ นมาซไม่เคร่งครัด ไม่เคร่งครัดในการสวมฮิญาบ ไม่เคร่งครัดในการเป็นสามีที่ดี ไม่เคร่งครัดในการเป็นภรรยาที่ดี
ดังนั้นแล้ว บรรดาชีอะฮฺต้องมีภารกิจ ต้องมีการศึกษาเรียนรู้ ต้องรู้จักใช้เวลาให้เป็น ชีอะฮฺที่อ่านกรุอานไม่ได้ก็ต้องเรียน ชีอะฮฺที่ไม่รู้ในเรื่องของหลักอะฮฺกามก็ต้องเรียน
บริบทนี่คือ ระบบระเบียบในการดำเนินชีวิต และสิ่งนี้อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะระเบียบการดำเนินชีวิต บางครั้งจะทำให้การพัฒนาทางศาสนาของตัวเรา สามารถดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ความไร้ระเบียบบางครั้งนั้นทำให้ศาสนานั้นถอยหลังและสุดท้ายก็จะล่มจมในเรื่องศาสนาในทุกเรื่อง
คำถามต่อมา ภารกิจที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของท่านอิมามบากิร(อ)คืออะไร?
ทำไมสุดท้ายชีวิตของท่านอิมามบากิร(อ)จึงต้องจบด้วยการเป็นชะฮีด ?
ทำไมบุคคลที่เผยแพร่ขบวนการแห่งการปฏิวัติทางด้านความรู้และการปฏิวัติด้วยปากกา เหตุใดวิถีของเขาจึงเป็นเช่นนี้ ?
จากคำถามทั้งหมด ท่านอิมามบากิร(อ)ได้พิสูจน์สั้นๆ โดยทำการเปิดเผยขึ้นมา และเริ่มทำการอธิบายคำว่า “อิสลาม” และทำความเข้าใจอิสลามกันใหม่ด้วยฮะดิษบทหนึ่งของท่าน ความว่า
بنى الاسلام على خمس; على الصلوة والزكوة والحج والصوم والولاية وما نودي بشيء بمثل ما نودي بالولاية
“อิสลามวางอยู่บนรากฐาน ๕ ประการ ได้แก่ นมาซ ซะกาต ฮัจญ์ ศีลอด และวิลายะฮ์ ซึ่งประเด็น “วีละยะฮ์”
นั้นเป้าหมายเพื่อชี้ว่า การไม่รู้จักวิลายะฮ์ก็เท่ากับว่าเขาไม่รู้จักรากฐานของอิสลามแม้แต่ประการเดียว อีกทั้งการปฏิเสธวิลายะฮ์ ก็คือการปฏิเสธรากฐานของอิสลามทั้งหมด”
(โปรดติดตามตอนที่ ๖ ตอนสุดท้าย )
اللهم صل علی محمد وآل محمد وعجل فرجهم
เรียบเรียงโดย : Wanyamilah S.✍????
ถอดบทความโดย ๑. วราภรณ์(ซัยหนับ) บินตี นาบาวี
๒.มัยซาเราะฮ์ โต๊ะหลี
หมายเหตุ : รวมการปาฐกถาพิเศษ ๒ มัจญลิส(ภูเก็ตและสตูล)