ความหมายของคำว่า “มัฆฟีเราะฮฺ”
ขออธิบายถึงคำว่า “มัฆฟีเราะฮฺ ” ว่า การที่อัลลอฮฺ(ซบ) ทรงอภัยโทษนั้นอย่าได้ไปตีความอย่างแคบๆ อย่างเช่นแนวความคิดของพวกวะฮาบี
อัลกุรอานและฮะดิษต้องอาศัยการอรรถาธิบายอย่างละเอียดลึกซึ้งตามหลักวิชาการ เช่น เมื่ออัลลอฮฺ(ซบ) ทรงอภัยโทษให้กับพวกเรา ก็คือ การทรงอภัยโทษในความผิดต่างๆที่เราได้กระทำมา อินชาอัลลอฮฺจนกระทั่งเราเป็นคนที่ไม่ทำความผิด ไม่ทำบาปอีกต่อไป ในเชิงปรัชญามนุษย์อาจไม่มีบาปเลยก็ได้ มนุษย์จึงต้องมีทัศนคติที่ดี หมั่นศึกษาหาความรู้เพื่อที่ จะมีคำตอบให้กับตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาจากการรับฟังข้อมูลที่ผิดพลาดจากบุคคลที่ชอบอ้างตนว่าเป็นอุลามาอฺ
อัลกุรอานโองการสุดท้ายของซูเราะฮฺ อัลบากอเราะฮฺและอีกหลายๆโองการที่บอกว่าเอกองค์อัลลอฮฺ(ซบ) จะไม่ทรงกำหนดภาระหน้าที่ใดๆ ให้กับมนุษย์เว้นแต่ในสิ่งที่เขาทำได้ เขามีความสามารถ
อยากอธิบายให้พวกเราเข้าใจว่า ผู้ที่พัฒนาตัวตนจนไม่มีบาปก็ยังคงต้องการมัฆฟีเราะฮฺจากเอกองค์อัลลอฮฺ(ซบ) อยู่อย่างไม่สิ้นสุด แม้กระทั่งอาลิมอุลามาอฺ มีวิถีชีวิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตลอดก็ยังมาถกกันในระหว่างพวกท่านว่า “ไม่เคยทำฮะราม” บางท่านก็สาบานว่า “ในชีวิตไม่เคยทำ มักรูฮฺ” บ้างก็สาบานว่า “ท่านไม่เคยทิ้งมุสตะฮับ” อีกท่านสาบานว่า “ไม่เคยทำมูบาฮฺ” อย่างนี้เป็นต้น
คำว่า “มูบาฮฺ” คือสิ่งที่อนุญาตให้ทำทั้งที่ไม่มุสตะฮับ…. ไม่มักรูฮฺ…. ไม่ฮะราม….. ไม่วาญิบ เช่น สมมุติว่าเราอยู่เฉยๆไม่หิวน้ำ ก็ยกน้ำขึ้นมาดื่ม เรียกว่า “มูบาฮฺ” แต่ถ้าหิวน้ำจนคอแห้งผากแล้วดื่มเป็น “มุสตะฮับ” ถ้าไม่ดื่มแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ชีวิตนั้นเป็น “วาญิบ” เช่นนี้การดื่มน้ำจึงเริ่มจากมูบาฮฺ มุสตะฮับ วาญิบ
“วาญิบ” หากไม่ดื่มกินเป็นบาป
“มุสตะฮับ” หากไม่ดื่มกินไม่บาป แต่ถ้าดื่มกินเป็นผลบุญ
“มูบาฮฺ” หากดื่มกินไม่เป็นทั้งบาปและผลบุญ
การดื่มกินเมื่อถึงเวลาเป็น “มูบาฮฺ” แต่เมื่ออิ่มแล้วยังดื่มกินต่อไปอีกเป็น “มักรูฮฺ” ถ้าหากอิ่มจนเกินกว่าร่างกายจะรับไหวแล้วยังฝืนดื่มกินอีกเป็น “ฮะราม”
สรุปอีกครั้งหนึ่งว่า หากไม่รับประทานอาหารแล้วเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตเป็น “วาญิบ” ต้องรับประทาน หิวกระหายจึงดื่มกินเป็น “มุสตะฮับ” ไม่มีความหิวกระหายแต่ก็ดื่มกินเป็น “มูบาฮฺ” ดังนั้นคำว่า ชีวิตไม่เคยทำอะไร….. ไม่เคยทำแม้แต่มูบาฮฺ…… เป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก คือ ทุกย่างก้าวของชีวิตมีผลบุญที่อัลลอฮฺ(ซบ) ทรงประทานให้อยู่ตลอด!!!!
การที่ไม่ดื่มกินจนกว่าจะหิว…… การไม่นอนพักผ่อนจนกว่าจะง่วง….. การไม่ประพฤติกระทำสิ่งใดในขณะที่ไม่มีความต้องการต่อปัจจัยแห่งการยังชีพ……. จึงไม่ต้องถามว่า เขาทำมักรูฮฺหรือเปล่า การที่มนุษย์พัฒนามาถึงระดับนี้ถ้าเขาขอมัฆฟีเราะฮฺจากอัลลอฮฺ(ซบ)จึงไม่ได้หมายความว่า เขาขออภัยโทษ แต่อัลลอฮฺ(ซบ)ได้เทิดตำแหน่งของเขาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ระดับที่แสวงหาความใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น และถ้าระดับอัมบิยาอฺ เอาลิยาอฺของอัลลอฮฺ(ซบ) ก็ยังคงต้องการมัฆฟีเราะฮฺจากพระองค์อยู่ หมายความว่า ยิ่งแสวงหาความใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น ส่วนนบีที่เป็นรอซูลของพระองค์ มัฆฟีเราะฮฺนั้นจึงมีความหมายที่ลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวระหว่างท่านกับพระองค์!!!
มัฆฟีเราะฮฺ จึงต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดลึกซึ้งไม่ใช่อธิบายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นก็จะเป็นอย่างเช่น ฟัฏลุลลอฮฺที่ออกมากล่าวความคิดเห็นว่า การที่อัลลอฮฺ(ซบ) ทรงอภัยโทษให้กับนบีในบาปก่อนๆมา หรือบาปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็แสดงว่านบีทำบาปได้ นบีก็มีความผิดพลาดได้ เขาเข้าใจในเรื่องมัฆฟีเราะฮฺและปรัชญาชั้นสูงจริงแท้หรือไม่อย่างไร ???
พึงเข้าใจว่าภาษาที่ใช้ในอัลกุรอานนั้นพระองค์ทรงใช้กับใคร ขออันเชิญอัลกุรอานโองการที่ว่า
ความว่า “อัลลอฮฺได้ทรงอภัยโทษบาปต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่จะเกิดขึ้นต่อมุฮัมมัด” แล้วมาตีความว่านบีมีโอกาสทำบาปได้ในอนาคต จนอัลลอฮฺ(ซบ) ได้ทรงอภัยโทษล่วงหน้า นักวิชาการที่อรรถาธิบายเช่นนี้จึงถ่อยสถุลเกินกว่าที่จะเรียกว่าอุลามาอฺ เมื่อก่อนเราคิดว่ามีวะฮาบีเป็นศัตรูของพวกเราโดยการสนับสนุนของนักล่าอาณานิคมตะวันตก แต่วันนี้ก็มีชีอะฮฺส่วนหนึ่งที่แปลอัลกุรอานแบบสุกเอาเผากินและบิดเบือนอย่าง น่ารังเกียจเป็นมหันตโทษและมหันตภัยต่ออิสลามอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ขอให้พวกเราจงตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ไว้ให้มาก……!!!!
จงแสวงหาความใกล้ชิดยังอัลลอฮฺ(ซบ) ให้มากที่สุด
หลังจากที่ท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก(อ) ได้กล่าวว่าในค่ำคืนที่อัลลอฮฺ(ซบ)จะทรงอภัยให้แก่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ล้นเหลือ ดังนั้นจงพยายามในการที่จะแสวงหาความใกล้ชิดยังพระองค์ให้มากที่สุด
การที่มนุษย์พยามที่จะขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ(ซบ) อยู่ตลอดนั้นเป็นการดี แต่ไม่ได้หมายความว่า ไปทำผิด….. ไปทำบาป….. ไปนินทา….. ไปให้ร้าย….. ไปอิจฉาริษยา…… ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ……โกหกหลอกลวงเป็นนิจ แล้วมาขออภัยโทษเป็นประจำ ถือว่าเสียชาติเกิด !!! เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพียงทูลขออภัยโทษต่อพระองค์อยู่ตลอดชีวิต บางคนชีวิตมีแต่การละเมิดจวบจนลมหายใจสุดท้ายจึงค่อยเรียกลูกหลานคนใกล้ชิดว่าขออภัยโทษให้ด้วยเถิด
การที่ไปทำความผิดสิ่งใดไว้ตลอดชีวิตแล้วมาทูลขออภัยโทษในบั้นปลาย จึงเป็นชีวิตที่ไร้ค่า เป็นชีวิตที่ไม่สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลก นอกจากทิ้งความผิดโทษทัณฑ์ไว้ในโลกมนุษย์นี้ มนุษย์ถูกสร้างมาไม่ใช่เพื่อการกระทำความผิดซ้ำซาก แต่ถูกสร้างมาเพื่อรู้จักขัดเกลาตนเอง เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดยังพระองค์
การแสวงหาความใกล้ชิดคือความสูงส่งมากกว่าที่แต่ละวันมีแต่ คำทูลขออภัยโทษ ในค่ำคืนแห่ง นิสฟูชะอฺบานนี้จึงควรจดจำคำที่ อุลามาอฺได้บอกไว้ว่า “จงพยายามให้มากในการที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระองค์ในค่ำคืนนี้ (หมายถึง ค่ำคืนแห่งนิสฟูชะอฺบาน)”
ค่ำคืนแห่งนิสฟูชะอฺบานเป็นค่ำคืนที่จำเริญพิเศษสุดจากพระองค์ทรงประทานให้ พระองค์ทรงยืนยันว่าจะไม่ทรงปฏิเสธคำขอใดๆ จากบ่าวของพระองค์เว้นแต่คำขอที่เป็นมะศิยัต
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปาฐกถา เนื่องในวันคล้ายค่ำคืนแห่งนิสฟูชะอฺบาน
(บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี)……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ติดตามอ่านต่อ รัตติกาลอันจำเริญ (ตอนจบ)