สถาปนาประเทศซาอุดิอาระเบียและการก่ออาชญากรรมของวะฮาบี
จากความร่วมมือกันระหว่างมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ กับกลุ่มอาหรับ เร่ร่อนในทะเลทราย ซาอูด ได้ก่อกำลังขึ้นโดยใช้อิทธิพลทุกรูปแบบแบ่งกำลังกันดูแลให้อับดุลวาฮาบดูแลเรื่องศาสนา ส่วนซาอูดดูแลการปกครองทั้งหมด วะฮาบีเริ่มต้นด้วยการกวาดล้างสังหารนักวิชาการอะฮฺลิสซุนนะฮฺในแผ่นดินอาหรับ ไม่ว่าใน ฮิญาซ… ญิดดะฮฺ… มะดีนะฮฺ… และนครมักกะฮฺไปเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ขจัด ผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของตนและพยายามสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นมา หลังจากนั้นได้สถาปนาแผ่นดินที่ท่านรอซูลลุลลอฮฺเคยเรียกว่า “อัลฮิญาซ” เป็นประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน ทั้งที่บรรพบุรุษของราชวงศ์ซาอุดีในปัจจุบัน คือ ลูกของยิวที่มารับอิสลามในภายหลัง โดยความร่วมมือของลัทธิวะฮาบีกับตระกูล ซาอุฯ เข้าทำนอง “ผีเน่ากับโลงผุ” จึงปรากฏเหตุการณ์ร้ายที่ตามหลอกหลอนพี่น้องมุสลิมไปทุกหย่อมหญ้าดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์อัปยศโดยการจับตัวผู้ อะซานในมัสยิดไปประหารด้วยข้อหาว่าศอลาวาตหลังอะซานเป็นอุตริกรรม!!!! ตามมาด้วยการรื้อทำลายสุสานของศอฮาบะฮฺ… เอาลียาอฺ… และบรรดาอะอิมมะฮฺ การต่อต้านจัดงานเมาลิดจึงถือว่าเป็นแค่เรื่องธรรมดาของสำนักคิดอันวิตถารนี้!!!!!
การไล่ล่าสังหารนักวิชาการบริสุทธิ์อิสลามเป็นจำนวนมาก… การรื้อถอนสุสานของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) นบี… และบรรดาอิมามนั้นไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกจากต้องการทำลายโบราณสถาน… โบราณวัตถุ….อันเป็นประวัติศาสตร์ที่รุ่งโรจน์ของมุสลิม เพราะถ้าไม่มีสิ่งล้ำค่าดังกล่าวหลงเหลืออยู่ก็จะไม่มีสิ่งใดเป็นความภาคภูมิใจของอิสลามอันบริสุทธิ์อีกเลย
ถ้าศาสนาอิสลามเป็นไปตามแนวความคิดของวะฮาบีหรือนามสกุลใหม่ว่า “สลาฟี” เป็นศาสนาของมุสลิมทั้งโลกแล้ว นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ก็จะมีแต่ความสะดวกสบาย บ่อน้ำมันในซาอุดิอาระเบียที่มากที่สุดในโลกก็จะถูกสูบส่งไปเลี้ยง ไซออนิสต์ทั่วโลก!!!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักล่าอาณานิคมอเมริกาในรูปแบบต่างๆ เล่นแร่แปรธาตุเป็นสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตมโหฬารเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางด้านวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงว่า บ่อน้ำมันที่มีมูลค่ามหาศาลนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานมาให้กับประชาชาติอิสลามโดยรวม โดยให้อาหรับเจ้าของพื้นที่เป็นผู้ดูแล เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์เหล่านั้นในรูปของกองทุนหรือการบริจาคเพื่อ ผู้ยากไร้มุสลิมทั่วโลก แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม วะฮาบีและซาอุดิอาระเบียกลับเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างเสียกระนั้น ความอดอยากหิวโหยของพี่น้องมุสลิมที่เป็นบ่าวของ อัลลอฮฺ (ซบ) และเป็นประชาชาติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ก็ต้องทนอดอยากต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!!!
อิสลามอันบริสุทธิ์ที่ถูกเผยแพร่สั่งสอนโดยท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และบรรดาอิมาม(อ) นั้น คือ ความสงบสันติสุขและไม่ยอมก้มหัวให้ผู้กดขี่ อิสลามไม่อนุญาตให้มุสลิมผู้ศรัทธาคนใดเห็นใจผู้กดขี่… คล้อยตามผู้กดขี่… และรักผู้กดขี่… ศัตรูอิสลามรู้แจ้งเห็นชัดในข้อนี้ดีจึงพยายามทำลายทุกรูปแบบ ทำอย่างไรให้มุสลิมลืมปรัชญาหลักดั่งที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่วะฮาบีต้องทำคือการบั่นทอนโบราณสถานโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และวงศ์วานของท่านให้ได้!!!!
ครั้งหนึ่งพวกวะฮาบีเคยบุกกัรฺบาลา… เคยทำลายสุสานของบรรดาอิมาม(อ) ที่นครมะดีนะฮฺ แม้แต่กระทั่งหมู่บ้านของบนีฮาชิมในมะดีนะฮฺ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ก็ถูกทำลายรื้อถอนไม่เหลือซาก!!!!
อิสลามแบบหัวมังกุท้ายมังกร
ข้าพเจ้าเคยไปทำฮัจญฺมาสี่ครั้ง ได้สังเกตเห็นสถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย ต่างถูกรื้อถอนทำลายไปหมดสิ้น มัสยิดซับอะฮฺ คือมัสยิดที่ยืนนมาซ เป็น มุศ็อลลา… เป็นสถานที่นมาซของท่านรอซุลลุลลอฮฺ… บรรดาอิมาม (อ) … ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ)… ท่านอะบูบักรฺ… ท่านศอฮาบะฮฺ และมุสลิมอาวุโสอีกหลายท่าน ซึ่งมุสลิมที่ไปเยี่ยมเยียนคาราวะสามารถไปยืนนมาซซ้ำรอยเดิมกับบุคคลที่ศรัทธาเทิดทูนได้
ข้าพเจ้าไปทำฮัจญฺครั้งที่สอง หมู่บ้านบนีฮาชิมกลายเป็นห้องสุขาของมัสยิดไปแล้วทั้งหมด!!!! ถ้าหากยืนอยู่ที่สุสานท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) หันหน้าไปทางสุสานบากิอฺ ขวามือคือห้องสุขาที่เคยเป็นหมู่บ้านบนีฮาชิมนั่นเอง เมื่อข้าพเจ้าไปทำฮัจญฺครั้งที่สาม มัสยิดซับอะฮฺไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อยเป็นการจงใจที่จะทำลายสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันธ์กับท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และวงศ์วานอย่างแท้จริง ด้วยข้ออ้างหากมีสิ่งเหล่านี้หลงเหลืออยู่ก็จะมีการตะวัซซุล… มีการซิยารัต… อันทำให้เกิดการกระทำอุตริกรรมไปเสียเปล่าๆ ศาสนาอิสลามที่ขาดซึ่งการตะวัซซุลท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และวงศ์วานอันบริสุทธิ์ของท่าน จึงเป็นอิสลามแบบหัวมังกุท้ายมังกรตามความปรารถนาของลัทธิวิตถารนี้อย่างแท้จริง!!!! แน่นอนว่าประชาชาติอิสลามที่มีการกล่าวคำปฏิญาณตรงกันเชื่อมั่นในเอกภาพของอัลลอฮฺ(ซบ) รักเทิดทูนต่อรอซูลของพระองค์ย่อมรัก…. เทิดทูน… ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) โดยพร้อมเพรียงกันอยู่นั้น ไม่สามารถรับความคิดอันวิตถารและไร้ความคิดของวะฮาบีได้
การทำฮัจญฺของข้าพเจ้าในครั้งที่สาม ข้าพเจ้านั่งรถเมล์จากนครมะดีนะฮฺผ่านรอบเมืองโดยมีผู้โดยสารเป็นชาวอาหรับนั่งอยู่ข้างๆ ออกนอกเมืองมาไม่ไกลนัก สังเกตเห็นเนินเขาที่สูงไปพอสมควร มีบ้านโบราณหลังหนึ่งเปิดไฟสว่างไสว มีรั้วหนามล้อมรอบ จึงถามคนที่นั่งข้างๆว่า “บ้านนี้เป็นของใคร?” จึงทราบว่าเป็นบ้านของ “กะอฺบุล อะฮฺบัรฺ” เขาเป็นยะฮูดีที่เข้ารับอิสลามในสมัยของคอลีฟะฮฺ อุศมาน เป็นคนที่แฝงตัวเข้ามาทำลายล้างอิสลามโดยเป็นที่ปรึกษาของอุศมานด้วย เป็นคนเดียวกับที่ท่านอะบูซัรฺ อัลฆัฟฟารี ทุบตีจนหัวแตก อะบูซัรฺคนนี้ก็เป็นคนเดียวกันกับที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เคยบอกว่า “ฉันรักเขาเพราะอัลลอฮฺทรงสั่งให้ฉันรัก” จนท่านอะบูซัรฺถูกเนรเทศในข้อหาทำร้ายที่ปรึกษาของคอลีฟะฮฺอุศมาน สุสานของยะฮูดีคนนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีนักวิชาการอะฮฺลิสซุนนะฮฺของ ซาอุดิอาระเบียออกมาต่อต้านเลยสักคนเดียว!!!!
ความอัปยศเมื่อได้เห็นบ้านและสุสานดังกล่าวยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดต่อมุสลิมนอกคอกนี้สุดประมาณ ทำให้นึกถึงนักวิชาการรุ่นใหม่ในเมืองไทยบางคนที่ออกเผยแพร่ศาสนาโดยขาดจิตวิญญาณของความเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ เห็นแก่ “อามิสสินจ้างเพียงไม่มากนักก็ออกมาทำตัวเป็นแมลงป่องที่หยิ่งยโสเสียแล้ว” ขอยกเอาโคลงโลกนิติเป็นอุทาหรณ์สำหรับบรรดาเยาวชนและมุสลิมรุ่นใหม่พอเข้าใจ
“นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช เชื่องช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี”
ขออภัยที่นำเอาคำโคลงนี้มาสรุปความในใจให้สั้นลงเพราะเหตุผลที่ได้เล่ามาถึงบรรดานักวิชาการ ทั้งในประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศไทยนั้นพอจะอนุมานได้เป็นอย่างดี
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปาฐกถา เนื่องในวันคล้าย วันชะฮาดัต ท่านอิมาม มูซา กาซิม(อ)
(บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี)……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ติดตามอ่านต่อ ประตูแห่งปรารถนา (ตอนจบ)