ธนาคารแห่งประเทศไทยแบรนด์ “USA”

หลังจากที่สหรัฐเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยออกกฏหมายที่อัปยศและส่งคำสั่งประกาศของแบงค์ชาติถึงธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศว่า "บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอิหร่านและเกาหลีเหนือไม่สามารถแลกเงินทุกสกุลในทุกธนาคารของประเทศไทยได้"

238

หลังจากที่สหรัฐเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านและเกาหลีเหนือในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้น ทำให้เมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกกฏหมายที่อัปยศและส่งคำสั่งประกาศของแบงค์ชาติถึงธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศว่า “บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอิหร่านและเกาหลีเหนือไม่สามารถแลกเงินทุกสกุลในทุกธนาคารของประเทศไทยได้”

สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรโดยสหรัฐที่มีต่ออิหร่านมาอย่างช้านาน ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามสหรัฐโดยอ้างถึงกฏบัตรจากธนาคารโลก ( World Bank Group ) ที่มีสมาชิก 187 ประเทศ ซึ่งห้ามทำธุรกรรมการเงินทุกชนิดกับอิหร่าน

หากมองดูโครงสร้างของธนาคารโลก จะเห็นว่า ธนาคารโลกมีการบริหารเหมือนบริษัทเอกชน โดยมีประเทศสมาชิกเป็นผู้ถือหุ้น จำนวนของหุ้นนั้นขึ้นอยู่ขนาดของเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เช่นประเทศสหรัฐที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดจะออกเสียงได้ร้อยละ 16.41 ตามด้วย ประเทศญี่ปุ่นร้อยละ 7.87 ประเทศเยอรมันร้อยละ 4.49 ประเทศอังกฤษร้อยละ 4.31 และประเทศฝรั่งเศสร้อยละ 4.31 และหุ้นที่เหลือแบ่งออกย่อยไปเป็นของประเทศสมาชิกอื่นๆ

อำนาจการตัดสินใจจึงขึ้นกับคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารโลก (Board of Governors) จะเป็นผู้บริหารของธนาคาร และมาจากตัวแทนของแต่ละประเทศสมาชิกจากทั้ง 187 ประเทศ โดยทั่วไปคณะกรรมการเหล่านี้เป็นผู้แทนมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของประเทศนั้น ๆ หรืออาจจะมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านการพัฒนาอื่น ๆ คณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารโลกจะเป็นผู้กำหนดนโยบายสูงสุดของธนาคารโลกผ่านการประชุมปีละหนึ่งครั้งในการประชุมประจำปีของธนาคารโลก โดยมอบหมายหน้าที่เฉพาะให้กับคณะกรรมการบริหาร (Executive Directors) โดยผู้ว่าการธนาคารโลกและคณะกรรมการจึงมีอำนาจหน้าที่เต็มที่ในการกำหนดนโยบายเอารัดเอาเปรียบต่อกลุ่มประเทศที่เป็นศัตรูกับสหรัฐ ธนาคารโลกมีสำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน ดีซี

ประเทศผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 5 ประเทศได้แก่ สหรัฐฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร และจะตั้งกรรมการบริหารขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แทนประเทศละหนึ่งคน ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ จะมีกรรมการบริหารรวม 19 คน โดย 5 คนจะมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมคณะกรรมการอำนวยการทั้งสิ้น 24 คน

มาตรการคว่ำบาตรในเรื่องการห้ามทำธุรกรรมการเงินกับอิหร่านในประเทศไทย ได้ทำลายโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอิหร่านอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการส่งออกข้าวไทย ยางพารา น้ำตาล หรือสินค้าแปรรูปต่างๆ ที่ต้องหยุดชะงักลงถึง7 ปี รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งส่งรองสมคิดไปจีบอิหร่านให้กลับมาเป็นลูกค้าข้าวสารและยางพาราของไทยได้สำเร็จ โดยอิหร่านจะซื้อข้าวไทย2แสนตัน และยางพารา7หมื่นตัน ซึ่งมีการส่องมอบข้าวล็อตที่หนึ่งไปแล้วหนึ่งแสนตัน และอีกหนึ่งแสนตันอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการ แต่การซื้อขายยังคงต้องทำผ่านประเทศที่สามเพื่อหาช่องทางการชำระเงินอยู่

แต่มาวันนี้ ความอัปยศของแบงค์ชาติทวีคูณมากขึ้น เมื่อมีคำสั่งห้ามคนอิหร่านแลกเงิน ณ ธนาคารในประเทศไทยทุกแห่ง ในขณะที่รายได้หลักของประเทศชาติมาจากการท่องเที่ยว แต่ละปีมีคนอิหร่านเข้ามาท่องเที่ยวในไทยประมาณ150,000-200,000 คน มีสายการบินที่บินตรงจากอิหร่านมาไทย และการบินไทยเองก็มีเที่ยวบินตรงไปอิหร่าน หลายบริษัทได้ติดต่อมาว่า เมื่อนักท่องเที่ยวชาวอิหร่านซึ่งผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ณ สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว และตรงเข้าไปที่หน้าเคาน์เตอร์แลกเงินของธนาคารเพื่อต้องการจะแลกเปลี่ยนเงินตรา ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ปฏิเสธการแลกเงิน และหยิบกระดาษขึ้นมาโดยมีข้อความว่า

“ We are so sorry. Your country is subject to economic sanction. We will not be able to provide you with fanatical service.” (ขออภัยในความไม่สะดวก ประเทศของท่านอยู่ภายใต้มาตรการแซงชั่นทางเศรษฐกิจ เราจึงไม่สามารถให้บริการธุรกรรมทางการเงินแก่ท่านได้ )

จึงอยากถามถึงรัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยว่า นักท่องเที่ยวจะเดินเข้าเมืองได้อย่างไร หากถูกปฏิเสธการแลกเงิน????? ในขณะที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่าน เรามีความร่วมมือในหลายด้านต่อกัน มีการเดินทางแลกเปลี่ยนผู้แทนระดับสูงต่อกัน แต่ดูเหมื่อนว่า รัฐบาลและแบงค์ชาติคงมีการดำเนินนโยบายที่ส่วนทางต่อกัน หากแบงค์ชาติสามารถกดดันชาวอิหร่านได้เช่นนี้ โดยที่รัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงอยากเสนอให้กระทรวงการต่างประเทศประกาศยกเลิกวีซ่าไทยสำหรับชาวอิหร่านไปเลย หรือถ้ารัฐบาลสามารถแก้ไขได้ รีบเร่งปรับทัศนคติกับผู้ว่าการแบงค์ชาติด่วน เพราะ 187 ชาติที่เป็นสมาชิกธนาคารโลก มีมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ทำธุรกรรมการเงินกับอิหร่าน และมีการค้าที่ดีต่อกัน ตลอดจนนักท่องเที่ยวอิหร่านไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ที่น่ารังเกียจเช่นนี้

ไทยเราควรหาช่องทางหลีกเลี่ยงข้อบังคับของสหรัฐเหมือนหลายชาติในโลก ไม่ใช่รับคำบัญชาและรีบออกกฏหมายขึ้นมา ขอให้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทบทวนอีกครั้ง ก่อนที่ท่านจะเสียโอกาสและเสียมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาอย่างยาวนานถึง 465 ปี

หวังว่ารัฐบาลไทยโดยการนำของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศที่กลุ่มทุนและแบงค์ชาติกำลังชอนไชต่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ด้วยความเคารพ
ดร.ซัยยิดมุบาร็อก ฮูซัยนี
นายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน