เตาฮีด 3
(เอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า)
ทำไมมนุษย์จะต้องแสวงหาศาสนา ทำไมมนุษย์จะต้องแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า อีกเหตุผลหนึ่ง คืออุปนิสัยอันหนึ่งของมนุษย์ คือวิสัยของการขจัดภัยการนำตัวเองให้พ้นจากภัยต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นปกติของมนุษย์ ถึงแม้ภัยนั้นอาจจะเป็นภัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็ตามเช่น เมื่อมนุษย์ได้รับข่าวว่าข้างนอกบ้านเขาทะเลาะเขายิงกัน เขาทำสงครามกัน มนุษย์จะออกไปด้านนอกหรือไม่ หรือถ้าออกไปเขาจะทำอย่างไร ถ้าเขาออกไปแน่นอนว่ามนุษย์จะออกไปด้วยความระมัดระวัง หรือเขาจะเข้าไปเดินป่า มีคนมาบอกว่าในป่ามีงูใหญ่อยู่ มีเสืออยู่ ถ้าเขาเข้าไปแน่นอนเขาต้องเตรียมตัวในการป้องกันภัย แม้เป็นภัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็ตาม เราอาจจะเตรียมอาวุธ ปืน หรืออะไรก็แล้วแต่ไปด้วย
โดยธรรมชาติมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อปกป้องตัวเองในทุกๆเรื่องแม้แต่การเดินลงบันได สมมุติมีคนบอกว่าขั้นที่สามกับสี่ไม่ค่อยปลอดภัย มนุษย์คนนั้นก็จะระมัดระวังในการเดิน ถามว่าแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องรางของศาสนาอย่างไร เกี่ยวข้องกับเรื่องที่มนุษย์จะต้องมีศาสนาอย่างไร เกี่ยวข้องที่การปรากฏขึ้นของศาสดาจำนวนมากมาป่าวประกาศเชิญชวนมนุษย์ไปสู่ความดี ไปสู่ความผาสุก ไปสู่การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมนุษย์จะได้รอดพ้นจากภัยอันตรายอันยิ่งใหญ่ มนุษย์เป็นสิ่งที่มีสองโลกมีทั้งโลกนี้และโลกหน้า ในโลกหน้านั้นมีนรกมีสวรรค์ เมื่อมนุษย์ตายไปถูกฝังมีมาลาอิกะฮ์ มุนกัร นังกิร มาสอบสวน
ท่านศาสดามาบอกถึงผลลงโทษต่างๆ ความผิดหนึ่งก็จะมีบทลงโทษหนึ่ง ความผิดอีกแบบหนึ่งก็จะมีบทลงโทษอีกแบบหนึ่ง ได้บอกไว้อย่างละเอียด ศาสดามามีหน้าที่ในการแจ้งข่างดี และแจ้งบทลงโทษ แน่นอนว่าบุคคลที่พระผู้เป็นได้มอบหมายมานั้น ย่อมเป็นบุคคลที่ดีที่สุด เป็นบุคคลที่ถูกยอมรับมากที่สุดในสังคม เมตตากรุณาที่สุด เช่นท่านศาสดาแห่งอิสลาม ท่านนบี มูฮัมมัด(ศ) ก่อนการประกาศตัวเป็นศาสดานั้นท่านถูกยอมรับในความซื่อสัตย์และความไว้วางใจจากประชาชนชาวมักกะฮ์มากที่สุด ท่านได้ฉายานาม ว่า “อัลอามีน” ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ น่านับถือ หรือถ้าได้รับหมอบหมายให้ตัดสินสิ่งใดแล้วก็จะตัดสินด้วยความยุติธรรม เหตุการณ์สำคัญหนึ่งท่านได้รับความไว้วางใจให้ตัดสินเรื่องการนำหินดำกลับไปตั้งที่อาคารกะบะฮ์เหมือนเดิม
แน่นอนว่าเรื่องที่ศาสดามาบอกนั้นมันสำคัญและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากแจ้งถึงบทลงโทษที่หนักหน่วงสำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้า และบางเรื่องเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ในโลกนี้ไม่ได้ แตกต่างจากคำเตือนเรื่องที่ว่าอย่าเข้าป่า มีงู มีเสืออยู่ ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้โดยการเข้าไปดูในป่า หรือเรื่องอื่นๆฯลฯ แต่ภัยที่ศาสนามาบอกมันลึกเกินที่จะมนุษย์จะไปถึงได้ เกินที่จะพิสูจน์ได้ ดังนั้นผู้ที่มาบอกนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ ไม่เป็นผู้โกหก จะต้องเป็นบุคคลที่พูดความจริงเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในสังคม ทางจริยธรรม ด้านศีลธรรม สิ่งเหล่านี้คือคุณลักษณะที่มีในตัวของบรรดาศาสดานั่นเอง
ดังนั้นผู้ที่มีสติปัญญาแน่นอนว่าเขาต้องให้ความสำคัญกับคำตักเตือนของศาสดาเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นปลอดภัย นักจิตวิทยาบอกว่ามนุษย์โดยปกตินั้นจะเตรียมการในการป้องกัน ขจัดภัย ไม่ว่าใครจะมาบอกก็ตาม จะมีปฏิกิริยาปกป้องภัย แม้ว่าเป็นภัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็ตาม แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ที่มีศาสดาจำนวนมากถึงหนึ่งแสนสองหมืนสี่พันองค์ มาตักเตือนเรื่องเดียวกัน มาพูดเรื่องเดียวกันถึงภัยที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่กระทำผิด ภัยที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ฝ่าฟืน บอกถึงการลงโทษต่างๆอย่างมากมาย ซึ่งคำเตือนภัยในลักษณะนี้มีอยู่ในทุกศาสนา “ดังนั้นมนุษย์ปกติแบบเราจะไม่หามาตรการในการปกป้องภัยอันยิ่งใหญ่นี้ดอกหรือ มนุษย์จะไม่นำตัวเองออกห่างจากภัยอันนั้นดอกหรือ ความรอดพ้นปลอดภัยก็คือการแสวงหาศาสนา แสวงหาเป็นผู้เป็นเจ้า และการปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่ศาสดาได้นำมา”
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ปกติวิสัยของมนุษย์นั้นแสวงหาความสุขความสะดวกความสบายความสมบูรณ์ให้กับตัวเองทั้งความสุขทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณ ไม่มีใครบอกว่าไมอยากมีความสุข มีแต่คนบอกว่าอยากมีความสุขตลอดไป ไม่อยากมีทุกข์ใดๆ ภารกิจอีกอย่างหนึ่งของศาสดานอกจากมาแจ้งบทลงโทษและตักเตือนแล้ว คือการมาแจ้งข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งเรื่องของจิตวิญญาณและร่างกาย มาบอกผลของการทำความดี ความดีทั้งหมดจะถูกตอบแทนในวันกียามัต คนทำดีจะได้ขึ้นสวรรค์ ในสวรรค์นั้นมีความสุขที่สมบูรณ์ไม่มีความทุกข์ใดๆ ข่าวดีที่สุดสำหรับมนุษย์คือการมีชีวิตที่ นิรันดร์อยู่ในสวรรค์
คำสอนต่างๆของศาสนานั้นเป็นคุณประโยชน์กับมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ มีมากมายหลายเรื่องราว ทั้งวัตถุทั้งจิตวิญญาณ บางเรื่องราวศาสนาได้บอกไว้ตั้งแต่หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่วิทยาการปัจจุบันเพิ่งมาค้นพบประโยชน์ของมันเมื่อประมาณ 20-30 ปีนี้เอง เช่นวิทยาการทางการแพทย์เพิ่งรู้ว่านมที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อยทารกคือนมแม่ ซึ่งอัลกุรอานได้กล่าวเรื่องนี้ไว้เมื่อ 1400 ที่ผ่านมา อัลกุรอานได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ทารกดื่มนมแม่เป็นเวลาสองปี ในซูเราะฮ์ อัลบากาเราะฮ์ โองการที่ 233
وَالْوالِداتُ یُرْضِعْنَ اَوْلادَهُنَّ حَوْلَیْنِ كامِلَیْنِ لِمَنْ اَرادَ اَنْ یُتِمَ الرَّضاعَةَ
“และมารดาทั้งหลายนั้นจะให้นมลูกของนางเป็นเวลาสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการให้การให้นมลูกนั้นสมบูรณ์”
นี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงหกเดือนแรกการดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวก็เป็นที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของทารก หลังจากที่แม่ได้ให้กำเนิดบุตรนมแม่จะมีสารอาหารหนึ่งที่มีประโยชน์ซึ่งเป็นวัคซีนแรกและเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดจะป้องกันทารกจากโรคต่างๆอย่างมากมาย ทำให้เด็กแข็งแรง ทำให้สติปัญญาเด็กแข็งแรงและสมบรูณ์
และในเรื่องของการแจ้งข่าวดีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญาณ การทำอามัลการงานต่างๆผลของมันจะเกิดขึ้นในโลกนี้และจะเกิดขึ้นในโลกหน้าด้วย การนมาซ ทำให้มนุษย์มีสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ การถือศีลอดทำให้มนุษย์มีความอดทน รับรู้รสชาติของความหิว เพื่อให้เกิดความรู้สึกเมตตากรุณาแก่ผู้ยากไร้ หรืออื่นๆ นอกจากนี้ยังมีรางวัลที่จะได้ในโลกหน้าอีก
มีชายคนหนึ่งมาโต้แย้งกับอิมามมูซา อัลกาซิม(อ)ว่า ชีวิตในโลกนี้มันลำบาก ทำสิ่งนี้ก็ไม่ได้ ทำนั้นก็ไม่ได้ ถ้าเกิดตายไปนรก-สวรรค์ไม่มีจริงจะทำอย่างไร? ไม่เหนื่อยฟรีๆหรอ!! ที่ได้ใช้ชีวิตในโลกนี้ไปอย่างอึดอัดกินสิ่งนี้ก็ไม่ได้กินสิ่งนั้นก็ไม่ได้ ทำตามใจตัวเองไม่ได้
ท่านอิมามได้ตอบว่า ถ้าโลกหน้าไม่มีจริงเรากับท่านก็เสมอกัน ฉันไม่ได้สวรรค์ ท่านก็ไม่ได้นรก เสมอกันที่ท่านอยู่ในโลกนี้ท่านได้ทำสิ่งที่ท่านชอบ ได้ทำตามใจตัวของท่านเอง จะทำอะไรก็ได้ และฉันก็ได้ทำสิ่งที่ฉันชอบ ฉันมีความสุขกับมัน ฉันไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ฉันมีความสุขกับการนมาซ ฉันมีความสุขกับการถือศีลอด แต่ทว่าถ้าโลกหน้ามีจริง นรก-สวรรค์มีจริง ท่านจะทำอย่างไร ใครกันที่ขาดทุน เห็นได้ว่าการนับถือศาสนาแบบเสี่ยงๆก็ย่อมดีกว่าการไม่ได้นับถือศาสนา มนุษย์ที่ชาญฉลาดนั้น มนุษย์ที่ปกตินั้น จะมีความปรารถนาความสุขสบายความรอดพ้น และยิ่งเป็นเรื่องความสุขสบายที่นิรันดร์แล้วเขาจะไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน ความสุขความสบายที่แท้จริงคือการมีศาสนาคือการทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ได้สัญญาสวรรค์ความสุขที่นิรันดร์ไว้