จากทุนศรัทธาสู่ทุนการทูต: เจาะบทบาท “ซัยยิดสุไลมาน” โครงสร้างกลางปฏิบัติการเตหะรานดีลในรายงาน BBC

3
รายงานพิเศษของ BBC ไทย ครบรอบ 2 ปีสงครามกาซ่า เปิดเบื้องหลังการช่วยแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันหลังเหตุ 7 ต.ค. 2566 รัฐบาลไทยต้องเผชิญโจทย์ใหญ่—จะติดต่อฮามาสอย่างไร เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรง
บทความจึงไม่ได้เพียงบอกว่า “ไทยเจรจากับฮามาสสำเร็จ” แต่ชี้ให้เห็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า: ใครเปิดประตู และ ช่องทางนอกระบบรัฐมีความสำคัญเพียงใด โดยวาง “ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี” ผู้นำชีอะห์ไทย ไว้ในฐานะ “โครงสร้างกลาง” (brokerage structure) ผู้แปลงทุนศาสนาและเครือข่ายวัฒนธรรมให้เป็น “ทุนการทูต” บทความจึงเปิดมุมมองใหม่ว่า การแก้ปัญหามนุษยธรรมระดับโลก ไม่ได้พึ่งแค่ “การทูตบนโต๊ะ” แต่ต้องอาศัยทุนความศรัทธาและเครือข่ายทางสังคมที่กลายเป็นพลังต่อรองอย่างแท้จริง

ซัยยิดสุไลมาน: จากทุนศรัทธา สู่ทุนการทูต
รายงานระบุว่า ซัยยิดสุไลมาน มีเส้นทางการศึกษาในอิหร่านและประสบการณ์กว่า 12 ปี ระหว่างภูมิภาคอิรัก–ซาอุฯ จึงสร้างเครือข่ายกับ PLO ฮามาส และญิฮาดอิสลามี อีกทั้งยังเป็นอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย–อิหร่าน มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยีด ผู้เชื่อมตรงกับ ดร.คอลิด กุดดูมี แห่งฮามาส อีกทั้งยังเคยเรียนกับซัยยิดอิบราฮิม ไรอีซี อดีตประธานาธิบดีอิหร่านผู้ล่วงลับ เครือข่ายเหล่านี้ทำให้เขาสามารถแปลงทุนศาสนาเป็นทุนต่อรองที่รัฐไทยไม่อาจสร้างเองได้
ตัวกลางเชื่อมไทย–ฮามาส
รายงานชี้ชัดว่า การเจรจารัฐต่อรัฐเป็นไปไม่ได้ ต้องพึ่งบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อถือ ซัยยิดสุไลมานจึงทำหน้าที่ “ตัวกลางคุณภาพสูง” ที่เชื่อมแรงจูงใจทางศาสนาของอิหร่าน–ฮามาสเข้ากับแรงจูงใจด้านความมั่นคงของไทย ส่งผลให้คณะฝ่ายไทยเข้าพบตัวแทนฮามาสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอิหร่านในช่วงปลาย ต.ค. 2566 ได้รวดเร็ว สะท้อนว่า “ช่องทางศาสนา–วัฒนธรรม” ทำงานไวกว่า การทูตปกติ
กลยุทธ์ “ซุนนี–ชีอะห์ร่วมปฏิบัติการ”
จุดที่รายงานเน้นคือการ “ผนึกกำลังซุนนี–ชีอะห์” ในทีมนายวันนอร์–อารีเพ็ญและทีมซัยยิดสุไลมาน การจัดวางนี้ลดแรงเสียดทานจากความระแวงระหว่างนิกาย และส่งสัญญาณต่อฮามาส–อิหร่านว่า “ชุมชนมุสลิมไทยมีเอกภาพในเป้าหมายมนุษยธรรม” ซึ่งถูกยกเป็นเหตุผลที่ฝ่ายไทยใช้โน้มน้าวฮามาสว่า การปล่อยแรงงานไทยจะคลี่คลายบรรยากาศความขัดแย้งในไทยเอง
การจัดการ “ข้อมูลอ่อนไหว”
ซัยยิดสุไลมานยืนยันว่า ฮามาสสงสัยแรงงานบางส่วนเป็นทหารรับจ้าง เขาเคยเตือนรัฐบาล ประเด็นนี้สอดคล้องกับสิ่งที่อดีต รมว.ต่างประเทศไทยได้รับจากกาตาร์–อิหร่าน–อียิปต์ กล่าวคือ “ความหวาดระแวง” คืออุปสรรคสำคัญ บทบาทของเขาคือการแปลความกังวลให้รัฐไทยเข้าใจ และยืนยันต่อฮามาสว่าแรงงานเป็นพลเรือน ถือเป็นการบรรเทาความเสี่ยงเชิงข้อมูลที่มีนัยต่อดีล
Multi-Track Diplomacy
รายงานชี้ว่าจังหวะ–วิธีปล่อยตัวอาศัย “สัญญาณส่วนตัว” มากกว่าช่องทางการ เช่น ดร.กุดดูมี ส่งสัญญาณว่าจะปล่อยภายในหนึ่งสัปดาห์หลังหยุดยิงปลาย พ.ย. แต่เกิดเร็วกว่านั้น สะท้อนว่า การทูตศาสนา–สังคม ทำงานควบคู่กับรัฐ โดย “ข่าวกรองทางสังคม” มีบทบาทสูง บทบาทของซัยยิดสุไลมานจึงตอกย้ำความสำคัญของ การทูตหลายแทร็ก (multi-track diplomacy) ที่ผสานช่องทางรัฐ–รัฐ กับช่องทางศาสนา–สังคมเข้าด้วยกัน หากไม่มีโครงสร้างกลางนี้ รัฐไทยคงยังติดอยู่กับ “มืดแปดด้าน” อย่างที่อดีตรัฐมนตรีปานปรีย์ยอมรับ ตามที่ระบุในรายงานของ BBC
ความขัดแย้งเชิงการเล่าเรื่อง
หลังการปล่อยตัวประกัน เกิดกระแสวิจารณ์เมื่อรัฐไทยปล่อยให้ผู้ได้อิสรภาพสวมเสื้อสกรีนธงไทย–อิสราเอล ทั้งที่ฮามาสยอมปล่อยตัวจากความเชื่อมั่นว่าไทยไม่ฝักใฝ่อิสราเอล ซึ่งเกิดจากการทูตผ่านเครือข่ายของ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี โดยตรง เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นความขัดแย้งเชิงการเล่าเรื่อง (narrative contestation) ระหว่าง “ทุนความไว้ใจจากการทูตนอกระบบรัฐ” กับ “ภาพลักษณ์ที่รัฐส่งออกโดยไม่รอบคอบ” ผลเชิงยุทธศาสตร์ คือบั่นทอนความไว้วางใจที่ถูกสร้างขึ้น และสะท้อนให้เห็นว่า แม้ปฏิบัติการช่วยเหลือจะสำเร็จ แต่การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ของรัฐยังอาจทำลายทุนทางการทูตที่เครือข่ายศาสนาได้สร้างขึ้นด้วยความอุตสาหะ
บทสรุป
ในรายงาน BBC ไทย ท่านซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ปรากฏในฐานะผู้ออกแบบช่องทางไว้วางใจไทย–ฮามาส ผ่านทุนเครือข่ายชีอะห์–อิหร่านและสถานะผู้นำศาสนาในไทย เขาแปลภาษา “ความไว้วางใจ” ของทั้งสองฝั่ง บรรเทาความเสี่ยงข้อมูล และผลักดันเอกภาพซุนนี–ชีอะห์ให้เป็นอำนาจต่อรองเชิงสัญลักษณ์ ผลรวมคือการเร่งการปล่อยตัวประกันและย้ายเวทีจาก “ความมืดแปดด้าน” สู่ multi-track diplomacy ที่จับต้องได้ บทบาทของเขาได้ยืนยัน “คุณค่าของทุนศาสนาและเครือข่ายวัฒนธรรม” ในการแก้ปัญหาความมั่นคง และวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รัฐชาติเดี่ยว ๆ เข้าถึงได้ยาก