เอกองค์อัลลอฮฺ(ซบ)ทรงกำหนดภารกิจและยุทธ์วิธีการปฏิวัติในกัรบาลาอฺ
หลังจากที่ท่านอิมามฮุเซ็น(อ)รู้ว่า ใช่แผ่นดินนี้ ที่ท่านตาได้บอกและได้ยืนยันไว้ และ เล่าถึงรายละเอียดต่างๆแล้ว ในบางริวายัตได้อธิบายว่า เมื่อบอกแผ่นดินนี้ ชื่อว่า กัรบาลาอฺ ท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ก็ได้ลงมาจากหลังม้า แล้วหยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ แล้วล่วงไปในปกเสื้อของท่านที่อยู่ชั้นในแล้วเอาอีกก้อนหนึ่ง ออกมาเปรียบเทียบว่า มันใช่หรือไม่ ???
ท่านนำมาดมดูแล้วกล่าวว่า ใช่ คือ แผ่นดินเดียวกัน….. !!!“ดินก้อนที่เอามาจากข้างในปกเสื้อชั้นในนั้น คือ ดินที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้มอบไว้ล่วงหน้า ให้เห็นไว้ก่อน นี่คือ แผ่นดินที่เจ้าจะต้องหลั่งเลือด เพื่อปกป้องศาสนา”
หากอิมามฮุเซ็น(อ)ไม่ได้ซื้อแผ่นดินตรงนั้นไว้ วันนี้ เราอาจจะไม่ได้ไปซิยารัตกัรบาลาอฺ
หลังจากนั้นท่านอิมาม(อ)ได้ให้อัศฮาบไปถามหาหัวหน้าเผ่า ผู้ครอบครองที่ดินในอาณาบริเวณนี้ จากท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ก็ได้ทำการขอซื้อที่ดินนั้นเป็นระยะทางที่กว้างเป็นอย่างมาก(ประมาณ 5-6 กิโลเมตร) สนามรบก็เป็นที่ดินที่ท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ได้ซื้อ อิมามฮุเซ็น(อ)ได้ซื้อทั้งหมดในบริเวณนั้น จ่ายเงินเรียบร้อย ซื้อเอาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน
(แหล่งอ้างอิง มุสตัดรัก เล่ม ๑๐ หน้า ๓๒๑ บาป ๕๐ ฮะดิษ ที่ ๗ )
จริงๆแล้วยังมีมากกว่านั้น หลังจากซื้อที่ดิน ก็ยังให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเงินค่าจ้างว่า…
“หลังจากนี้พวกท่านช่วยฝังร่างของฉันด้วย”
นอกเหนือจากซื้อที่ดินแล้ว ก็ยังรู้อีกว่า ร่างของฉัน และร่างบรรดาชุฮาดาอฺทั้งหมดจะไม่ถูกฝัง พวกนี้จะตัดเอาศีรษะ และนำศีรษะไปเสียบปลายหอก ไปให้กับยาซีดที่ซีเรีย รู้กระทั่งร่างจะไม่ถูกฝัง นอนตากแดดอยู่
ถ้าเกิดไม่มีใครรู้ ก็จะต้องถูกตากแดดเป็นระยะเวลานาน จนกว่าจะมีผู้คนเข้ามาเห็น
ท่านอิมามฮุเซ็น(อ) ก็ได้ให้เงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อจ้างว่า….
“หลังจากที่บรรดากองทัพทรชนเหล่านี้ออกไปแล้ว พวกท่าน จงช่วยฝังร่างของฉันด้วย ในชุดที่เหลือในร่างของพวกเราทุกๆคนด้วย”
อิมามฮุเซ็น(อ)ได้ให้ค่าจ้างสิ่งนี้เอาไว้ด้วย เพราะภารกิจอันนี้นั้นยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺ(ซบ)จึงจะต้องบอกทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ ภารกิจที่หนักอึ้ง ภารกิจที่ต้องการความอดทนแบบชนิดที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ภารกิจและรายละเอียด และการทำภารกิจในลักษณะนี้นั้นมีเฉพาะในแบบฉบับผู้นำที่อยู่ในระบบอิมามะฮฺเท่านั้น
มีริวายัตบทหนึ่งกล่าวว่า…
หลังจากที่รอซูลฯ(ศ) ได้ปฏิบัติหน้าที่ในระยะหนึ่งแล้ว ถึงยุคของการเตรียมการ เตรียมตัวที่จะถ่ายทอดอำนาจของการดูแลศาสนาอันนี้หลังจากท่านไปยังเอาศียาอฺของท่านนบี
ซึ่งวะศีย์และเอาศียาอฺของท่านนบีมีอยู่ 12 ท่าน ก็คือ อิมาม 12 ซึ่งเป็นวะศีย์ของรอซูลฯ(ศ) ญิบรออีลได้ลงมาพร้อมกับนำบันทึก 12 บันทึกลงมาให้กับท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)
ญิบรออีลก็ได้บอกกับท่านนบีว่า นี่คือหน้าที่และภารกิจของวะศีย์ของท่านในแต่ละคนๆ หน้าที่ที่จะต้องทำมีอะไรบ้างนั้นอยู่ในบันทึกนี้หมดแล้ว หมายความว่าอย่างไร??
หมายความว่าบุคคลที่กำหนดบทบาทหน้าที่และภารกิจ แม้นแต่ยุทธวิธีของภารกิจต่อพระองค์นั้นคือ… เอกองค์อัลลอฮฺ(ซบ)เป็นผู้ทรงกำหนดเพียงเอกองค์เดียว
ในริวายัตนี้ยังได้กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นท่านรอซูลฯ(ศ)ก็ได้เปิดบันทึกของท่านอิมามฮุเซ็น(อ)ดู ก็พบว่าในบันทึกนั้น…
มีคำสั่งหนึ่ง เป็นคำสั่งหลักสำคัญ ซึ่งคำสั่งแรก มีข้อเขียนอยู่ประโยคหนึ่งว่า…
اخرج الى عراق فقاتل حتى يقتل
ความว่า “สำหรับฮุเซ็นนั้น ภารกิจหลักที่สำคัญ คือ จงออกไปยังอีรัก จนกระทั่งถูกฆ่า”
นี่คือ คำสั่งที่มีอยู่ในบันทึก 12 บันทึก ที่ญิบรออีล(อ)นำมาให้กับรอซูลฯ(ศ)
และนี่คือ เหตุผลอันหนึ่งที่ท่านอิมามฮุเซ็น(อ) รู้ในทุกๆเหตุการณ์ และไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย !!!
เมื่อรู้ถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดต่างๆเหล่านี้แล้ว แล้วจะออกไปทำไม??
เราฟังนั้นอาจจะง่าย การปฏิบัติภารกิจ การต่อสู้ การเสียสละ แล้วเราเห็นผล คือ ถ้าผลมันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงพอใจ ถ้าผลนั้นนำมาซึ่งความสุขใจ สมมุติ แน่นอนใครๆ ก็อยากจะทำภารกิจ แต่อันนี้ผลที่มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ผลซึ่งนำมาความทุกข์ทรมาน และเป็นที่รู้กันล่วงหน้า เมื่อท่านอิมามฮุเซ็น(อ) ได้ยืนร้องไห้ในวันที่ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา(อ) โดนยาพิษ ซึ่งเป็นยาพิษที่รุนแรงเป็นอย่างมาก อวัยวะภายในของท่านอิมาม ตับไต ไส้พุงของท่านนั้นแหลกเหลวทั้งหมด ลองคิดดู !!! ว่า ทุกข์ทรมานสักขนาดไหน!!!
อิมามฮุเซ็น(อ)สงสาร ในความเจ็บปวดที่พี่ชายมีนั้น ก็ได้ร้องไห้ยืนหลั่งน้ำตา ท่านอิมามฮะซันมุจญฺตะบา(อ)ได้หันมายังอิมามฮุเซ็น แล้วได้บอกว่า …
“โอ้!!! น้องเอ๋ย!! เจ้าไม่ต้องร้องไห้หรอก เจ้าเห็นในความเจ็บปวดของพี่แบบนี้นั้น เพราะว่าวันหนึ่งนั้น
لايــوم كـيومـك يــا أبـا عــبـدالله الــحـســين (عليه السلام )
ความว่า “จะไม่มีวันไหน ที่จะมีความเจ็บปวด โศกเศร้า ทุกข์ระทม เหมือนกับวันของเจ้า โอ้อบาอับดิลลาฮฺ ”
ซึ่งแน่นอน บรรดาอะอิมมะฮฺ(อ)พูดด้วยความรู้ ……พูดด้วยความเข้าใจ ในขณะที่ตัวท่านเองกำลังเจ็บปวดกับพิษที่ทำลายอวัยวะภายในเกือบทั้งหมดแล้ว ท่านยังยืนยันกับท่านอิมามฮุเซ็นว่า…
“ท่านจะเจ็บปวดกว่าของฉันด้วยซ้ำไป ดังนั้น จงอย่าได้ร้องไห้ไปเลย”
คำถามคือ ถ้าเรามองในภาพของ “ซอฮีร”แล้วจะออกไปสู้รบทำไม ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าต้องตาย รู้อยู่แล้วว่าต้องสูญเสีย รู้อยู่แล้วว่าต้องสูญสิ้น…????
สมมุติ เอาเด็กและผู้หญิงไป รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเชลยศึก รู้อยู่แล้วว่า บรรดาเด็กๆ และสตรีก็จะต้องทุกข์ทรมานอย่างสาหัส เหมือนกันแบบไม่ต้องอธิบายรายละเอียดใดๆอีกแล้ว เด็กและสตรีถูกล่ามโซ่ตรวน ถูกลากตั้งแต่กัรบาลาอฺไปยังกูฟะฮ์ กัรบาลาอฺไปยังนาญัฟ คนที่ไปซิยารัตอาจจะได้เตาฟีกในความเข้าใจอันนี้ พวกเราไปรถบัส ไปรถอะไรกันออกจากนาญัฟเพื่อจะไปยังกัรบาลาอฺ นั่งรถบัสที่ติดแอร์ เพราะรถวิ่งได้ 20-30 กิโลเมตร
เราจินตนาการไปเลยว่า แล้วเด็กๆที่ถูกลาก ถูกทุบตี ตลอดเส้นทางจากนาญัฟ-กัรบาลา พวกเขาทนได้อย่างไร?? พวกเขาอยู่กันได้อย่างไร?? มันทุกข์ทรมานสักขนาดไหน!!!
แค่เรานั่งรถแอร์ที่ชุ่มช่ำ ดูบรรยากาศ เราก็สามารถที่จะสัมผัสความทุกข์ทรมาน ในอดีต ในทะเลทรายไม่มีถนน แน่นอนเป็นที่ราบ จะต้องเดินบนทะเลทราย
ซึ่งในทะเลทรายก็มีหญ้า มีหนาม มีทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากนั้นเด็กๆ และสตรีก็ยังถูกลากในลักษณะนี้อีก จากนาญัฟมุ่งสู่ซีเรีย ถามว่า เมื่อรู้ถึงความทุกข์ทรมานทั้งหมดต่างๆเหล่านี้แล้ว แล้วออกไปทำไม??
แน่นอน !!! คำตอบของมันนั้นมีมากมายหลายแง่มุม แง่มุมแรกที่จะนำเสนอให้พวกเราก็คือ เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซบ) เพื่อฏออัตในคำสั่งของพระองค์อย่างแท้จริง เพื่อยืนยันและยืนหยัดในคำสั่งของพระองค์
การทำความเข้าในเรื่องราวเหล่านี้นี่แหละ เราจึงจะเข้าใจในสถานภาพของอะฮฺลุลบัยต(อ)ได้อย่างสมบูรณ์อย่างแท้จริง
ในซิยารัต ญามีอะฮฺ อัลกาบีเราะฮฺ มีประโยคหนึ่ง ที่กล่าวว่า
“ขอยืนยัน และปฏิญาณ ว่า พวกท่านนี่แหละคือผู้ฏออัตพระองค์อย่างแท้จริง”
ทำไมเราต้องยืนยันว่า อะฮฺลุลบัยต(อ) คือ ผู้ฏออัตพระองค์อย่างแท้จริง
ทั้งๆที่ทุกคนก็จะต้องฏออัตต่ออัลลอฮฺ(ซบ)ทั้งหมด เราตัดคนที่ไม่ศรัทธาในศาสนาออกไป เอาเฉพาะคนที่ศรัทธาในศาสนา ก็ต้องฏออัตต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซบ) เอาคนศรัทธาแล้ว แต่คำในลักษณะนี้ ทำไมไม่มีในคนที่ฏออัต และคนดีอื่นๆ?? ทำไมจึงนำมาเป็นคุณลักษณะที่พิเศษสำหรับอะฮฺลุลบัยตฺ ??
จริงๆแล้วการฏออัตต่ออัลลอฮฺ(ซบ)เป็นหน้าที่ของทุกคน แต่ทำไมในซิยารัต ญามีอะฮ์ อัลกาบีเราะฮ์ จึงนำมาเป็นคุณลักษณะพิเศษประการหนึ่งของอะฮฺลุลบัยต(อ) ก็เพื่อยืนยันว่า พวกท่านนี่แหละเป็นผู้ที่ฏออัตต่ออัลลอฮฺ(ซบ)อย่างแท้จริง
ตรงนี้ต้องการจะบอกถึงการฏออัตที่แท้จริง ……การฏออัตที่สมบูรณ์……การฏออัตที่ไม่มีผู้ใดที่จะฏออัตได้อีกแล้ว
นี่คือเหตุผลหนึ่งในประโยคซิยารัตบทนี้และพวกท่านนี่แหละคือ ผู้ที่กิยามอย่างแท้จริงในคำสั่งของพระองค์ คือผู้ที่กิยาม ยืนหยัด ลุกขึ้นสู้ ไม่มีการกิยามไหนที่จะยิ่งใหญ่ และสำคัญเท่ากับการยืนหยัดของบรรดาอะฮฺลุลบัยต(อ) และสูงสุดของมันคือ การลุกขึ้นกิยามของท่านอิมามฮูเซน(อ)
การยืนหยัดไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องจับดาบยืนต่อสู้เสมอไป การยืนหยัดมีมากมายหลายวิธี บางครั้งการยืนหยัดที่เจ็บปวดที่สุด ก็คือการยืนหยัดของท่านอิมามอาลี(อ) ในเมื่ออัลลอฮฺ(ซบ)มีคำสั่งว่า จะต้องนั่งอยู่เฉยๆเมื่อครั้งที่บ้านของท่านถูกเผา ภรรยาอันเป็นสุดที่รักของท่าน เป็นสุดที่รักของศาสดา ถูกทุบตี ถูกลากถูไปบนท้องถนน ก็จะต้องอดทน จะต้องยืนหยัดในคำสั่ง ซึ่งจริงๆแล้วเราก็มีหลักฐานทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ได้ถูกบอกเอาไว้ล่วงหน้าอย่างสมบูรณ์ว่า อะฮฺลุลบัยต(อ)คือ ตัวตนที่แท้จริงของคำเหล่านี้ อะฮฺลุลบัยตฺ(อ)คือ ผู้ที่ฏออัตต่ออัลลอฮฺ(ซบ)แบบไม่มีคำถามอะไรใดๆทั้งสิ้น การฏออัตที่แท้จริง การยืนหยัดหรือการกิยามที่แท้จริง จึงจะสามารถปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ ภารกิจที่ไม่เคยถูกกำหนดกับบุคลากรใดๆของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นนบี จะเป็นรอซูลฯ(ศ) คือ… การฏออัต “อูบูดียัตอย่างแท้จริง”ของบรรดาอะอิมมะฮฺ(อ) โดยเฉพาะท่านอิมามฮุเซ็น(อ)
@@@@@@@@@
บางส่วนในปรมัตถ์แห่งการพลี สดุดีอาชูรอ
มุฮัรรอม คํ่าคืนที่ 5 ค.ศ.1436
(อ 29-10-2557)
บรรยายพิเศษ โดยฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
ณ มัสยิดรูฮุลลอฮ์