จากนายกเทศมนตรีหนุ่ม สู่วีรบุรุษสงคราม – แง่มุมวิถีชีวิตอิสลามของ ชะฮีดมะฮ์ดี บาเกรี ที่โลกต้องศึกษา

26

เนื่องในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ถูกสังหารของชะฮีด มะฮ์ดี บาเกรี หนึ่งในวีรบุรุษสงครามการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน และผู้บัญชาการทหารระดับสูงสุด ที่มีอิทธิพลต่อเสรีชนรุ่นหลัง ซึ่งมีหัวใจเป็นธรรม และยึดมั่นในการปฏิวัติสังคมทั่วโลก — ในปฏิบัติการบาดัร ระหว่างสงครามอิรัก-อิหร่าน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1985

____________

  • •• ครอบครัวบาเกรี มีบุตรชายสี่คน: อะลี, เรซา, มะฮ์ดีและฮามิด โดยต่างคนต่างก็เป็นวีรบุรุษของเรื่องราวมากมาย — อะลี บาเกรี บุตรชายคนโตของครอบครัว เริ่มต้นการต่อสู้กับการกดขี่ และความอยุติธรรมในช่วงระบอบการปกครองปาห์ลาวีในอิหร่าน เขาถูกสั่งประหารชีวิต สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ และท้ายที่สุด ได้สละชีพ เพื่อเป้าหมายสูงสุดในการปฏิวัติสังคม

บุตรชายคนที่สอง มีชะตาชีวิตที่งดงามไม่ต่างกัน — เรซา เดินตามรอยพี่ชายของเขา และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในเรือนจำของระบอบปาห์ลาวี

บัดนี้ ถึงคราวของมะฮ์ดี และฮามิด บุตรชายอีกสองคนในลำดับถัดมา… ในส่วนของมะฮ์ดี บาเกรี — ด้วยผลพวงจากความเสียสละของพี่ชาย มะฮ์ดีได้รับการยอมรับให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยทาบริซ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล

ขณะที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย มะฮ์ดี เริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติเพื่อต่อต้านระบอบปาห์ลาวี เขาพาน้องชายไปทำกิจกรรมเหล่านี้ด้วย เพื่อนร่วมห้องของเขาในหอพักมหาวิทยาลัย เล่าถึงชีวิตของมะฮ์ดีในสมัยนั้นว่า:

“เขามีตารางกำหนดการสำหรับกิจวัตรประจำวันของเขา ที่เป็นระเบียบ และเคร่งครัด (ในการรักษาวินัย) เป็นอย่างมาก เขากินน้อยมาก ตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก อดอาหารเป็นส่วนใหญ่ และมักจะไปภูเขาในวันที่เขาถือศีลอด” เพื่อนอีกคนพูดว่า “ตอนนั้น ผมไม่รู้จักมะห์ดี ผมเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ สภาพอากาศ (ซึ่งผมไม่คุ้นเคย) ในเมืองทาบริซ ทำให้ผมล้มป่วย แต่ไม่มีใครดูแลผม มีนักเรียนอีกคนทำซุปให้ผม และดูแลผม เมื่อผมถามชื่อของเขาจากนักเรียนคนอื่นๆ ผมก็ได้รับคำตอบว่า ชื่อของเขาคือ มะฮ์ดี บาเกรี”

ไม่กี่ปีต่อมา การปฏิวัติอิสลามในปี 1979 เกิดขึ้น ในอิหร่าน และระบอบปกครองสาธารณรัฐอิสลาม ก็ถูกสถาปนา— มะฮ์ดีได้รับมอบหมายความรับผิดชอบด้านการบริหารที่หลากหลาย ในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาเป็นพนักงานอัยการในเมืองอูรูมิเอห์ ในการดำรงตำแหน่งนี้ เขาระมัดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่า มีการบังคับใช้กฎหมาย และในขณะเดียวกัน ก็มีการปฏิบัติตามจรรยาบรรณอันดีงาม เพื่อไม่ให้มีผู้ใดได้รับผลกระทบ หรือเป็นอันตรายจากความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาในสมัยนั้น เล่าว่า: “ครั้งหนึ่ง เขา (ชะฮีดมะห์ดี บาเกรี) ส่งเราไปจับกุมอาชญากรคนหนึ่ง..พ่อของอาชญากรในวัยสูงอายุ เปิดประตู และบอกว่า ลูกชายของเขาไม่อยู่บ้าน เมื่อเรากลับมา และรายงานเรื่องนี้แก่มะฮ์ดี บาเกรี เขาถามซ้ำหลายครั้ง เกี่ยวกับชายชราคนนั้น เขาต้องการให้แน่ใจว่า ชายชราไม่ได้ถูกทำให้หวาดกลัว (โดยการปรากฏตัวของเรา)”

หลังจากทำหน้าที่เป็นอัยการในอูรูมิเอห์ เขากลายเป็นนายกเทศมนตรีของอูรูมิเอห์ประมาณเก้าเดือน ในช่วงเวลานั้น เกิดเหตุน้ำท่วมในเมืองอูรูมิเอห์ นายกเทศมนตรีผู้นี้ ปฏิบัติตนเฉกเช่นพนักงานเทศบาลทั่วไปคนอื่นๆ โดยไม่ได้แนะนำตนเองในฐานะนายกเทศมนตรี เขาเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อรักษาทรัพย์สินของพวกเขาจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบริจาคเงินเดือนส่วนหนึ่งให้กับพนักงานในสำนักงานของเขา โดยไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้พนักงานได้รับรู้

ในสมัยนั้นเอง ที่เขาได้สมรสกับสตรี ที่แบ่งปันอุดมการณ์ และศรัทธาร่วมกับเขา เขาและภรรยามักจะไม่ใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างฟุ่มเฟือยในการใช้จ่ายส่วนตัว แต่กลับนำรายได้ และแม้กระทั่งของขวัญวันแต่งงานไปใช้จ่ายกับการแก้ไขปัญหาสังคม และช่วยเหลือผู้ยากไร้ ภรรยาของเขากล่าวว่า “ตอนที่เขาเป็นนายกเทศมนตรีของอูรูมิเอห์ วันหนึ่งเขาขอให้ฉันเขียนรายการค่าใช้จ่ายรายเดือนของเรา เขาบอกว่า ถ้ามีส่วนเกิน เราควรมอบให้คนขัดสน ดังนั้น ฉันจึงทำรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเรา ตั้งแต่รายการยาขัดรองเท้า ไปจนถึงเนื้อสัตว์ ขนมปัง และไข่ — ด้วยกับเงินส่วนเกิน (ที่เหลือจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็น) เขาซื้ออุปกรณ์การเรียน และมอบให้กับคนที่เขารู้ว่า มีความต้องการมัน”

เมื่อสงครามรุกรานอิหร่านของซัดดัม เริ่มต้นขึ้น มะฮ์ดี ได้รับหน้าที่ใหม่ในการจัดการสงคราม ซึ่งหน้าที่สุดท้ายที่เขาได้รับ คือ ผู้บังคับบัญชากองพลอาชูรอ — ในฐานะผู้บัญชาการ มะฮ์ดียึดมั่นในศีลธรรมของเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เขาไม่คิดว่าตนมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และมักทำงานเคียงข้างพวกเขาไม่ว่างานใดก็ตามที่มี ในช่วงเวลานี้ เขาระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจว่า สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เขาได้รับนั้น ไม่ได้มีมากไปกว่าทหารคนอื่นๆ หรือ ให้ได้รับในระดับเดียวกัน- และอาจจะน้อยกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำไป

ในค่ำคืนหนึ่ง เมื่อไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทหารทุกคนในเต็นท์ที่พวกเขาประจำการ มะฮ์ดีได้นำทหารหลายคนเข้าไปในเต็นท์ของตนเอง ตัวเขาเองออกไปนอนตากฝน และเป็นไข้หวัด ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่มีใครบางคน นำผลไม้มาให้เขา ซึ่งผลไม้ดังกล่าวไม่มีสำหรับทหารทุกคน มะฮ์ดีจึงปฏิเสธที่จะรับประทานผลไม้นั่น และบอกว่า เขาจะรับประทานเฉพาะสิ่งที่ทหารทุกคนได้รับประทานเท่านั้น

มันคือสิ่งเหล่านี้ ที่ทำให้เขาเป็นที่ชมชอบในหมู่กองกำลัง ที่สังกัดภายใต้การบังคับบัญชาของเขา สหายคนหนึ่งของเขาในสงคราม เล่าว่า “ในระหว่างการประชุมของผู้บังคับบัญชา หัวหน้าสำนักงานของเขามาบอกเขาว่า ‘ทหารสองคนกำลังรอพบคุณ ไม่ว่าผมจะบอกพวกเขาไปมากมายหลายหนว่า คุณอยู่ในระหว่างการประชุม พวกเขาก็จะไม่จากไป พวกเขาแค่ต้องการถ่ายรูปกับคุณเท่านั้น’ — มะฮ์ดีกล่าวขอโทษและไปถ่ายรูปกับพวกเขาภายหลังจากนั้น เมื่อเขากลับมาที่ห้อง เขาพูดว่า ‘ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ผมรู้สึกไม่ดีเลย ในการทำให้พวกเขาผิดหวัง'”

นอกจากเรื่องราวในลักษณะเช่นนี้แล้ว ทักษะด้านการพูดของเขา ก็ยังมีอิทธิพลต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะเป็นบุคคลที่มีความคิดใหม่ๆ และได้รับชัยชนะในการต่อสู้ทางกายภาพกับศัตรูเป็นประจำแล้ว มะฮ์ดียังมีอิทธิพลอย่างสูง ในสงครามทางวาจา และสื่ออีกด้วย

มีหลายครั้ง ที่บุคคลต่างๆ ซึ่งตัดสินใจจะละทิ้งสงคราม อันเนื่องมาจากสภาวการณ์ที่ยากลำบาก ถูกโน้มน้าวให้อยู่ต่อด้วยกับคำพูดของเขา ทหารคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา เล่าว่า “ผมกลับบ้าน ในสภาพที่มีขาหักหนึ่งข้าง มือหักอีกสองข้าง และมีเศษกระสุนที่กราม

พ่อของผมไม่พอใจ ที่ผมไปรบในสงคราม มะฮ์ดีมาเยี่ยมผม และพูดคุยกับพ่อของผม หลังจากที่เขาจากไป พ่อของผมบอกว่า ‘หายเร็วๆ แล้วกลับไปหาคุณมะฮ์ดี’ แนวรบต้องการลูก'”

ในฐานะผู้บัญชาการในสงคราม มะฮ์ดี ยึดมั่นในหลักการทางศีลธรรมเหมือนเช่นที่ผ่านมา เขาปฏิบัติต่อเชลยศึกชาวอิรักอย่างมีมนุษยธรรม และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเชลยศึก แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในการจะปกป้องชีวิตของทหารอิหร่านก็ตาม เพื่อนของเขาเล่า “เมื่อเราถูกส่งไปปฏิบัติการทางทหาร เราทุกคนต่างก็ลงเรือ ทหารคนหนึ่งถูกข้าศึกจับเข้าคุกเป็นเวลาหลายเดือน และเขายังมีบาดแผลตามร่างกายจากการที่ข้าศึกทรมานเขา เมื่อเขาขึ้นเรือ เขาตะโกนว่า ‘เราจะแก้แค้น!’ เมื่อได้ยินดังนั้น มะฮ์ดีจึงกล่าวว่า ‘คุณไม่จำเป็นต้องมากับเรา เราจะไม่ไปไหนเพื่อแก้แค้น'”

มะฮ์ดีรักฮามิด น้องชายคนเล็กของเขามาก ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ และต่อมาในช่วงหลายปีของสงครามอิรัก-อิหร่าน มะฮ์ดีก็จะมีน้องชายของเขาติดตามไปด้วยกันในทุกที่ที่เขาไป ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1984 ฮามิดถูกสังหาร และร่างของเขายังคงอยู่ในสนามรบ พร้อมกับทหารคนอื่นๆ อีกหลายคน

ขณะที่มะฮ์ดีเป็นผู้บังคับบัญชา เหล่าทหารยืนกรานให้นำศพของฮามิดกลับมา แต่มะฮ์ดีไม่ยอมรับสิ่งนั้น เขากล่าวว่า “ถ้าคุณสามารถนำศพของผู้พลีชีพ ทั้งหมดกลับมาได้ ให้นำศพของฮามิดของผมกลับมาด้วย ถ้าคุณทำไม่ได้ — ทุกคนคาดหวังให้ผม ในฐานะผู้บัญชาการของคุณ — ไม่เลือกปฏิบัติระหว่างน้องชายของผมกับคนอื่นๆ” จากนั้นเอง ที่ศพของฮามิดจึงไม่เคยถูกค้นพบ

หนึ่งปีต่อมา เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1985 มะฮ์ดีถูกสังหารเป็นชะฮีด เมื่ออายุได้ 30 ปี อันเป็นผลมาจากการถูกยิงโดยตรง จากกองกำลังของซัดดัม ศพของเขาไม่เคยถูกค้นพบ

อิมามคาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามฯ กล่าวถึงวีรบุรุษสงคราม ชะฮีดมะฮ์ดี บาเกรี ผู้นี้ว่า “ชะฮีดบาเกรี เป็นนักศึกษาหนุ่ม ที่เพิ่งจบการศึกษาในช่วงเริ่มต้นของสงคราม เขาใช้เวลาไม่กี่เดือน หรือช่วงหนึ่งในการรับราชการทหาร จากนั้นตามคำสั่งของอิมาม ที่สั่งให้ทหารออกจากค่ายทหาร เขาก็จากไป… ต่อมา ดูสิว่า ชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นผู้บัญชาการกองทหาร ที่มีอำนาจสั่งการปฏิบัติการทางทหารได้อย่างไร เขาสามารถเคลื่อนพลกองทหารได้ และในบางครั้ง (เขาก็บริหาร) ฐานทัพทั้งหมด เขาชี้นำเหล่าทหาร และเป็นผู้นำพวกเขาในปฏิบัติการต่างๆ น่าอัศจรรย์ไหม? นี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์กระนั้นหรือ? สิ่งเหล่านี้คือปาฏิหาริย์ของการปฏิวัติฯ!” •••

__________

แปลและเรียบเรียงจาก : english. khamenei. ir