ขอแสดงความเสียใจยังท่านอิมามประจำยุคสมัย อิมามมะฮ์ดี (อ) และผู้ศรัทธาทุกท่าน เนื่องด้วยวันนี้ ตรงกับวันคล้ายการเป็นชะฮาดัตของท่านอิมามมูซา อัลกาซิม(อ) อิมามท่านที่ 7 แห่งวงศ์วานอะฮ์ลุลบัยตฺ
บางส่วนจากการบรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามฯ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
________________
••• เมื่อ คอลีฟะฮฺ นาม “มันศูร ดีวาเนกี” (ล.น) ขึ้นมา อำนาจของมันนั้น เริ่มเข้มแข็งขึ้น รายงานบันทึกว่า มันศูร เป็นหนึ่งในคอลีฟะฮฺที่ใช้อำนาจคล้ายกับยะซีด ในขณะที่ยุคมุอาวิยะฮฺอาจจะใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่เมื่อถึงการปกครองของยะซีด เป็นยุคของการใช้อำนาจ มันศูรก็เช่นนั้น คือ เป็นหนึ่งในคอลีฟะฮฺอับบาสิยะฮฺ ที่เหี้ยมโหดที่สุด
แม้แต่อุลามาอะฮฺลิซซุนนะฮฺ และนักประวัติศาสตร์ จำนวนมาก ในประวัติศาสตร์ได้บันทึก ว่า “มันศูร ดีวันเนกี” มีฉายาความเหี้ยมตามหลังมากมาย เกือบทุกคนบันทึกเช่นนั้น ขอยกเฉพาะที่เรารู้จัก เช่น ท่าน ญะลาลุดดีน ซายูตี ได้เขียนเกี่ยวกับการตัฟซีรต่างๆ โดยอุลามาซุนนะฮฺ เกือบทั้งหมดต่างยอมรับ ที่ว่าเมื่อเอ่ยชื่อของมันศูร จะกล่าวว่า “นี่คือซอเล็ม ผู้กดขี่ ผู้หลั่งเลือด” หมายถึง ฆ่ามนุษย์อย่างใหญ่หลวง มิใช่แค่เพียงการฆ่ามนุษย์อย่างมากมาย แต่เป็นการฆ่ามนุษย์อย่างใหญ่หลวง
เมื่อนักวิชาการตรวจสอบ คำว่า “ใหญ่หลวง” ที่ ญะลาลุดดีน ซายูตี บันทึกไว้ พบว่า เฉพาะยุคของ “มันศูร ดีวันเนกี” มีการฆ่ามุสลิมไปถึง 1,200,000 คนในสมัยนั้น เพียงเพื่อให้ยอมรับในอำนาจของมัน
และพบว่า ยุคของมันศูร เป็นยุคกวาดล้างบนีอุมัยยะฮฺ แต่หัวใจของพวกเขา(ประชาชน)อยู่กับอะฮฺลุลบัยตฺ หลังจากที่มันได้เข่นฆ่าคนมากมาย ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จริงอยู่ประชาชนอาจจะกลัวในอำนาจ แต่หัวใจยังคงอยู่กับอะฮฺลุลบัยตฺ มันจึงรู้ว่า ไม่ว่าจะฆ่าคนกี่ล้านคน ก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ เว้นแต่ต้องฆ่าอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)
ต่อมา “มันศูร ดีวันเนกี” จึงทำการรังแก รังควาน จนสุดท้าย หลังจากได้วางยาพิษท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก (อ.) มันได้ย้ายเมืองหลวงไปสู่แบกแดด ซึ่งในช่วงต้นของราชวงศ์ของอับบาสิยะฮ์ อยู่ ณ บริเวณใกล้เมืองนะยัฟ และจากจุดนี่ ไม่ใช่การกวาดล้างประชาชนทั่วไป แต่เป็นการกวาดล้างที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ เพราะมันเป็นการกวาดล้างที่แม้แต่บนีอุมัยยะฮฺ ก็ยังไม่คิดที่จะทำ
การกวาดล้างที่ยิ่งใหญ่ คืออะไร? เราต้องมาดูกัน นี่คือ จุดเริ่มต้นของการกวาดล้าง ….
เมื่อมันศูรได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ แบกแดด มันได้สร้างวังหนึ่ง ชื่อว่า “วังแดง” (ปัจจุบันยังมีอยู่) แต่หากย้อนดูในส่วนของมุอาวิยะฮฺ มีวังเขียวอยู่ที่ นะมิศ สร้างด้วยมรกต และประดับประดา ด้วยเหตุมีสีเขียวมากมาย จึงได้ชื่อว่า “วังเขียว” แต่วังแดงของบนีอับบาสนั้น ได้ชื่อว่า วังแดงเพราะอะไร?
ไขปริศนา ความเป็นมาของ “วังแดง”
นักประวัติศาสตร์ได้ทำการค้นคว้า ไม่พบว่ามีการประดับประดาด้วยสีแดงอย่างมากมายแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นกำแพง บังลังค์ หรือพรม ก็ไม่ได้มีสีแดง จึงสงสัยว่า เหตุใด วังนี้ จึงมีชื่อว่า “วังแดง”
เมื่อทำการตรวจสอบประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ พบว่า ณ วังนี้ มีเสาอยู่ 400 ต้น ในเสา 400 ต้นนั้น มีซัยยิดหนึ่งคน ถูกโบกร่วมไปกับเสานั้นทั้งเป็น
นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างวังของมันศูร ดีวันเนกีเฉพาะที่เรารู้ อย่างน้อยมี 400 ศพ ที่ถูกโบกไปพร้อมกับ 400 เสาของวังแดง และประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าในวังอื่นๆนั้น กำแพง พนัง เต็มไปด้วยหัวของบรรดาซัยยิดที่ถูกปกครองโดยคอลีฟะฮฺยุคต่อๆมา
นี่คือการประกาศสงครามกับบนีฮาชิมทั้งหมด ความจริงแล้วพวกมันก็บนีฮาชิมเช่นกัน แต่สงครามนี้เป็นการประกาศสงครามกับลูกหลานสายตระกูลของนบีมูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.ฮ.) ลูกหลานของอะลี (อ.) โดยตรง
หลังจากที่ท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก (อ.) ถูกทำชะฮีด ภายหลังท่านอิมามมูซา อัลกาซิม (อฺ) ขึ้นรับตำแหน่งอิมามในวัย 20 ปี ท่านเป็นอิมามถึง 34-35 ปี
และระยะเวลา 35 ปีภายใต้สภาวะนั้น ประมาณ 17-18 ปี ท่านอิมามมูซา อัลกาซิม(อ) ยังทำภารกิจอยู่ภายนอก ทว่าในยุคที่มีการเผชิญภัยรูปแบบใหม่พบว่า การเผชิญภัยของอิมามระหว่างยุคบนีอุมัยยะฮฺกับยุคบนีอับบาสมีสิ่งที่ต่างกันดังนี้
บนีอุมัยยะฮฺ ไม่เคยยุ่งกับทุกๆคนของบนีฮาชิม ยุ่งเฉพาะกับคนที่ออกมาต่อกร กับผู้ที่จับดาบต่อสู้กับมัน
ดังนั้นบนีฮาชิมคนอื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่ในมะฮฺดีนะฮฺ อย่างสุขสบาย ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บนีอับบาสไม่ได้คิดเช่นนั้น บนีอับบาสต้องการล้างเผ่าพันธ์ของนบี
ข้อสังเกต : ที่กัรบาลา เป็นการล้างเผ่าพันธุ์อีกรูปแบบหนึ่ง แต่ที่บนีอับบาสทำ จะต้องล้างให้หมด จะต้องไม่มีซัยยิดเหลือบนโลก แม้แต่คนเดียว
เพื่อชี้ว่าโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ เกิดขึ้นเพราะความอิจฉา ดังนั้น หลังจากที่ท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก (อ.)ถูกทำชะฮาดัต “มันศูร ดีวันเนกี” ก็ได้ตายลงเช่นกัน ภายหลังอิมามมูซา (อ.) ก็ยังคงทำภารกิจ ซึ่งอิมามมูซา(อ.) รู้แล้วว่า จะเกิดเหตุการณ์หนึ่ง ที่ท่านไม่สามารถที่จะบริหารจัดการโดยตรง ท่านอิมามมูซา อัลกาซิม (อฺ) จึงได้สร้างระบบวะกีลขึ้นมา (ระบบตัวแทน) ซึ่งส่วนมากวะกีลของท่าน จะไม่ใช่บรรดาซัยยิด ถูกแต่งตั้งขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ ให้ทำการปกครอง ทำการดูแล ทำการเก็บฆุมุส
และห้วงนั้นเช่นกันบรรดาซัยยิดได้แตกกระเจิงทั่วทั้งแผ่นดิน เพราะหลังจาก “มันศูร ดีวันเนกี” ต่อมา มี “ฮาดี อับบาซี” ขึ้นมาอีกคน ตามด้วยคอลีฟะฮฺ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชั่วร้ายที่สุดอีกคนหนึ่งของบนีอับบาส คือ “ฮารูน อัรรอชีด” ที่ทั้งฉลาดและโหดเหี้ยมในทุกๆด้าน
ด้วยเหตุผลนี้ในวันนั้น ท่านอิมามมูซา อัลกาซิม (อ.) จึงสั่งให้บรรดาลูกหลานของท่านนบี (ศ็อลฯ) อพยพหลบหนีไปยังแผ่นดินอื่น ที่เป็นลูกหลานของท่านอิมามฮาซัน (อ.) หรือในสายตระกูลฮะซานี บ้างก็หนีไปถึงแอฟริกาเหนือ บ้างหนีไปถึงโมรอกโค ทว่า “ฮารูน อัรรอชีด” ก็ยังส่งคนตามไปฆ่าถึงโมรอกโค
ชี้ชัดว่า ในยุคของบนีอับบาส คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ลูกหลานนบีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่กัรบาลา
ย้อนกลับมายัง บนีอับบาส (ลน.) ช่วงที่มันไปซิยารัตท่านนบี(ศ็อลฯ) มันได้ให้สลามที่กุโบร์ของนบีว่า “สลามลุงของฉัน” มันยังคงนับนบีเป็นลุงเชื้อสายตระกูลเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ตามฆ่าลูกหลานของลุงเกือบทั้งหมดบนโลกนี้
ดังนั้น ด้วยกับโศกนาฏกรรมภายใต้การปกครองของบนีอับบาสเหล่านี้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บรรดาซัยยิดเข้ามาอยู่อย่างกระจัดการจายในอิรัก ในอิหร่าน เข้าไปถึงแอฟริกา มาถึงอินโดนีเซีย
ในเวลาเดียวกัน เมื่อมันตรึกตรอง ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเบี่ยงเบียนความสนใจ ความรัก การยอมรับนับถือ ที่ประชาชนในแผ่นดินอิสลามมอบให้กับอะฮฺลุลบัยตฺ มันได้ข้อสรุปและตัดสินว่าจะต้องจัดการที่อิมามมูซา (อฺ)
ดังนั้น ในเวลาต่อมาบนีอับบาสได้มีคำสั่งให้ “ฮารูน อัรรอชีด” เข้าสู่มะฮฺดีนะฮฺด้วยตนเอง
ณ ตรงนี้เราจะต้องรู้ด้วยว่า การที่มันทนไม่ได้กับการมีอยู่ของท่านอิมามมูซา กาซิม (อ.) บ่งบอกถึง ท่านอิมามทำภารกิจได้ผลเป็นอย่างมาก (ซึ่งคืนนี้เราอาจจะไม่มีเวลากล่าวถึงรายละเอียดต่างๆในการงาน การเสียสละของท่าน)
ครั้น เมื่อ ฮารูน อัรรอชีด กรีฑาทัพด้วยตนเองจากแบกแดดเข้าสู่มะฮฺดีนะฮฺ มันได้สั่งให้ทหารของมันไปจับตัวท่านอิมามมูซา อัลกาซิม (อ.) และสั่งว่า ไม่ว่าอยู่ในลักษณะไหน ให้ลากตัวมา แม้แต่อยู่ในนมาซก็ให้ลากตัวมา ซึ่งประจวบเหมาะ เมื่อบรรดาทหารไปถึงบ้าน ท่านอิมามมูซา (อ.) กำลังทำนมาซอยู่ พวกทหารจึงได้กระชากอิมาม ในขณะที่กำลังนมาซ และนั่นคือ การเริ่มต้นเรื่องราววิถีทางใหม่ของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)
วันนั้น จนถึง 14 ปี บนีอับบาส ได้เลือกผู้คุมที่โหดเหี้ยมที่สุดในแผ่นดินนั้น ที่มีในคุก มาเฝ้าท่านอิมามมูซา (อ.) ตลอดระยะเวลาทั้ง14 ปี ท่านอิมามมูซา (อ.) ได้ใช้เวลาอยู่ในคุก ย้ายคุก ออกจากคุก ซ้ำแล้วซ้ำอีก วันแล้ววันเล่า
ท่านอิมามมูซา (อ.) จึงนับได้ว่า เป็นอิมามที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เพราะในทุกๆคุก ท่านถูกซ้อม ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกโบย ถูกงดอาหาร ถูกกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ด้วยความอดทนแห่งอิมามัต ทำให้ผู้คุมที่โหดเหี้ยมต่างๆ กลับเปลี่ยนเป็นผู้ศรัทธา เป็นพวกของอิมามเกือบทั้งหมด เกือบทุกคุก ยกเว้นคุกสุดท้าย •••
اللهم صل علی محمد وآل محمد وعجل فرجهم
___________