📝ปาฐกถาโดย ฮุจญตุลอิสลามฯ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี เนื่องในวันคล้ายวันวะฟาตท่านหญิงคอดีญะฮ์ (อ) ณ มัสยิดรูฮุลลอฮ์ เมื่อวันที่ 10 รอมฎอน ฮ.ศ. 1432
________
•••อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ขอชุโกรในเนียะมัตและเตาฟีกที่เอกองค์อัลลลอฮ์(ซบ)ได้ประทานให้กับพวกเราทุกๆคน โดยเฉพาะเนียะมัตและเตาฟีกแห่งเดือนรอมฎอนเดือนอันจำเริญ เดือนอันยิ่งใหญ่ เดือนที่อัลลอฮ์(ซ.บ)ให้เกียรติมากที่สุดเดือนหนึ่ง เป็นเดือนเดียวที่มีชื่อในพระมหาอัลกุรอานจากสิบสองเดือน มีเดือนรอมฏอนเท่านั้น ที่มีชื่ออยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เดือนที่อัลลอฮ์(ซ.บ)กล่าวถึงโดยตรงในคัมภีร์ของพระองค์ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ ความศักดิ์สิทธิ์ความจำเริญ ความยิ่งใหญ่ของเดือนนี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเราว่า เราจะแสวงหาประโยชน์ได้มากสักเท่าไหร่ ในเดือนนี้
อัลฮัมดุลิลลาฮ์ คืนนี้ก็เป็นคืนที่ 10 ของเดือนรอมฎอนอันจำเริญ ซึ่งเป็นคืนและวันที่ตรงกับวันวะฟาตของท่านหญิงคอดีญะฮ์ (สลามุลลอลัยฮา) สตรีที่มีคุณูปการอย่างมากมายต่ออิสลาม สตรีแรกที่กล่าว
لاالله الاالله محمدرسول الله เป็นสตรีคนแรกที่เข้ารับอิสลาม และเป็นบุคคลแรกที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) เป็นสตรีแรกที่เป็นกำลังใจให้กับรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ) ให้ยืนหยัดในการต่อสู้ ให้ยืนหยัดในการประกาศสาส์นอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮ์(ซ.บ)ให้ถึงมวลมนุษยชาติ เป็นสตรีที่ได้พลีทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมีอยู่ เพื่อทำให้อิสลามนั้นได้แพร่ขยายจนถึงพวกเราทุกวันนี้
บุญคุณของท่านหญิงคอดีญะฮ์ (สลามุลลอฮิอลัยฮา) นั้นยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องทำการรำลึก เพื่อเชิดชูเกียรติอันยิ่งใหญ่ของท่านหญิง เป็นคุณูปการต่างๆที่มีต่ออิสลาม
💠ท่านนบีมูฮำหมัด (ศ็อลฯ) และท่านหญิงคอดีญะฮ์(สลามุลลอฮิอลัยฮา) ก่อนการประกาศเป็นศาสดา
ท่านหญิงคอดีญะฮ์ (สลามุลลอลัยฮา)นั้น เป็นหญิงชาวกุเรชที่สูงศักดิ์ เป็นทั้งเศรษฐีณี เป็นสตรีที่เป็นคหบดีของมะดียะห์ เป็นหญิงที่มีเกียรติ ชาติพันธู์ก็สูงส่งเพราะเป็นชนชั้นสูงของกุเรช และยังเป็นหญิงที่มีศรัทธา ได้รับการขนานนามว่าเป็นหญิงที่ประเสริฐสุดคนหนึ่งในยุคนั้น เป็นที่หมายปองของบุคคลจำนวนมาก เพราะในริวายัตก็ได้กล่าวว่า ท่านเป็นหญิงที่เลอโฉม เป็นหญิงที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งอัคลาก ทั้งบุคลิกภาพ ทั้งสายกำเนิด ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้น จึงเป็นที่หมายปองของคนจำนวนมากในยุคนั้น ท่านหญิงเป็นคหบดีที่สำคัญของมักกะห์ มีกองคาราวานที่ยิ่งใหญ่ที่ทำการค้าขายระหว่างมักกะห์กับซีเรีย ระหว่างมักกะห์กับเยเมน ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าขายที่สำคัญในยุคนั้น
และรอซูลลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)นั้น ได้ทำงานคู่กับท่านหญิง บางรายงานได้กล่าวว่า ท่านนบี(ศ็อลฯ)นั้น เป็นหุ้นส่วนของท่านหญิง นอกเหนือจากเป็นผู้ที่รับจ้างในกองคาราวานของท่านหญิงไปทำการค้าขายแล้ว ท่านนบี(ศ็อลฯ) ก็มีหุ้นอยู่ในการค้าขายนั้นด้วย และท่านนบี(ศ็อลฯ) ก็เป็นพ่อค้าที่มีความสามารถ ได้ทำการค้าขายให้กับท่านหญิงนั้นมีผลกำไรอยู่ตลอดเวลา และก็เป็นที่ไว้วางใจ เพราะว่าฉายาหนึ่งของท่านนบี(ศ็อลฯ) ก่อนที่ท่านจะประกาศศาสนานั้น ท่านนบี(ศ็อลฯ) ก็เป็น “อัลอามีน” เป็นคนหนุ่มที่ได้รับการยอมรับ เชื่อถือ และไว้วางใจของชาวมักกะห์เกือบทั้งหมด
การที่คนที่อยู่ในสังคมญาฮีลียะฮ์ในยุคนั้นได้รับการไว้วางใจ และถูกขนานนามว่า “อัลอามีน” ผู้ที่น่าเชื่อถือ ผู้ที่ซื่อสัตย์ผู้ที่วางใจได้ ถือว่าเป็นเกียรติยศอันหนึ่ง แม้นแต่ก่อนการเผยแพร่ศาสนา ฉายาอันนี้ก็เป็นที่ยอมรับของบุคคลเกือบทั้งหมด อัลลอฮ์(ซ.บ)จะให้ใครประกาศริซาละฮ์ของพระองค์นั้น แน่นอน ภูมิหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างของบุคคลนั้น ก็ย่อมที่จะมีความสำคัญ แบบฉบับ และวิถีชีวิตก่อนหน้า ที่จะเป็นผู้ประกาศสาส์นของอัลลอฮ์(ซ.บ)ก็มีความสำคัญ ดังนั้นชีวิตของท่านนบี(ศ็อลฯ) จึงถูกปกป้อง ดูแล ตลอดชีวิต โดยอัลลอฮ์(ซ.บ)ตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งมีเรื่องราวต่างๆอย่างมากมาย
ท่านหญิงคอดียะฮ์(ศ็อลฯ) ก็มีความสนใจในตัวของท่านนบี(ศ็อลฯ) เบื้องต้นจากความซื่อสัตย์ของท่านนบี จากความเก่งกล้าสามารถในการค้าขาย จากเชื้อสายวงศ์ตระกูลที่สูงส่ง เพราะจริงๆแล้ว ท่านนบีเป็นตระกูลที่สูงที่สุดของอาหรับ เป็นที่ยอมรับว่า บนีฮาชิมนั้นเป็นตระกูลที่สูงที่สุดของบรรดาอาหรับที่มีอยู่ในดินแดนฮิญาส เรียกว่า ซัยยิดุลอาหรับลิวัลอะยัม
กุเรช เป็นตระกูลอาหรับที่สูงสุด ฮาชิมเป็นตระกูลที่สูงสุดในหมู่กุเรช นั่นคือเบื้องต้น ท่านหญิงคอดีญะฮ์(สลามุลลอฮิอลัยฮา) ก็มีความพึงพอใจต่อท่านนบี(ศ็อลฯ) ประกอบกับเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในช่วงนั้น ก็คือมีการเข้ามาในมักกะห์ของพวกยาฮูดีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วในประวัติศาสตร์ พวกยาฮูดีกลุ่มนี้ที่เข้ามานั้น เป็นการเข้ามาอย่างมีแผนร้าย เพราะว่ายาฮูดีนั้น ไม่ได้เข้ามาในมักกะห์ ยาฮูดีนั้นไม่ได้มีถิ่นฐานในมักกะห์ แต่ในช่วงนั้น มียาฮูดีกลุ่มหนึ่งเข้ามาในมักกะห์อยู่ตลอดเวลา และเพื่อมาแสวงหาคนๆหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นศาสดาองค์สุดท้าย ได้มีการปล่อยข่าวนี้ไปยังชาวกุเรช โดยเฉพาะในบรรดาสตรีของชาวกุเรชว่าจะมีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฎขึ้น เขาคือศาสดาองค์สุดท้ายที่ได้ถูกทำนาย ข่าวว่าจะมีศาสดาองค์สุดท้ายที่เป็นชาวกุเรชก็แพร่กระจายในเมืองมักกะห์ และที่บอกว่ายาฮูดีมีแผนร้ายนั้นเพราะว่า ยาฮูดีนั้นตามล่าชายผู้นี้มาตลอด
เรามีการบันทึกประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ว่าพวกยาฮูดีนั้นได้ทำการไล่ล่ามาตลอดเวลาเป็นร้อยๆปี บรรดาบรรพบุรุษของท่านนบี(ศ็อลฯ)ก็ถูกตามล่า ถูกลอบสังหาร ตั้งแต่อับดุลมานัฟเรื่อยมา อับดุลมุตตอลิบ จนกระทั่งถึงฮาชิม อบูตอลิบถูกล่าถูกสังหารโดยพวกยาฮูดี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พวกยาฮูดีรู้ด้วยว่าศาสดาที่ถูกพยากรณ์จะถือกำเนิดมาจากชาติพันธุ์ไหน ตระกูลใด และบรรดาบรรพบุรุษของนบี ก็รู้ว่าจะมีศาสดาองค์หนึ่งปรากฎในเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ก็ได้ทำการปกป้องในบุคคลแต่ละรุ่น
“อับดุลมุตตอลิบ” จริงๆแล้ว ไม่ใช่ชื่อจริงของท่าน ชื่อจริงของท่านนั้น คืออีกชื่อหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด อาจจะชื่อว่า ชีซ หรืออะไรอย่างหนึ่ง แต่จะต้องปกปิด เพราะชื่อนี้เป็นที่รู้ของบรรดายาฮูดว่า สายเลือดที่จะให้กำเนิดศาสดาองค์ใหม่ และจะทำให้ศาสนาแห่งยาฮูดีนั้นไร้ค่ามาจากเชื้อสายนี้ ดังนั้น อับดุลมุตอลิบจึงถูกเปลี่ยนชื่อ เป็นอับดุลมุตอลิบเพื่อที่จะลวง ไม่ให้บรรดายาฮูดที่ชั่วช้าไล่ล่าสังหารสายธารของศาสดาที่จะถือกำเนิดใหม่ เพื่อที่จะปกป้อง ฉะนั้น อันนี้ก็เป็นหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า บรรพบุรุษของท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)นั้นรู้เรื่องราวทั้งหมด เตรียมการ เตรียมแผนที่จะปกป้องการถือกำเนิดของศาสดาองค์ใหม่
และชัดที่สุด เรื่องที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์โดยนักประวัติศาสตร์ทุกฝ่าย ทั้งซุนนีและชีอะฮ์ก็บันทึกไว้เหมือนกันว่า เมื่ออบูตอลิบพาท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)ออกค้าขายไปยังซีเรีย ในระหว่างเดินทางไปยังซีเรียนั้น กองคาราวานของท่านอบูตอลิบที่มีท่านนบี(ศ็อลฯ) ติดตามไปด้วยนั้น ก็ได้พักในสถานที่แห่งหนึ่งระหว่างทาง และตรงสถานที่แห่งนั้น ก็มีบาทหลวง ผู้รู้ปุโรหิตชาวคริสต์คนหนึ่งได้เห็นกองคาราวานนี้ ได้สังเกตท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)และได้เรียกท่านอบูตอลิบมาพูดคุยซักถาม จนกระทั่งเข้าสู่ประเด็น แล้วก็ถามท่านอบูตอลิบว่า เด็กคนนี้เป็นใคร
อบูตอลิบเบื้องต้นก็ต้องการที่จะปกปิด นี่เป็นหลักฐานอันหนึ่งว่า อบูตอลิบก็รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร เพราะการปกป้องนบีนั้น มีตั้งแต่ก่อนนบีถือกำเนิด ท่านก็บอกว่าเด็กคนนี้นั้นเป็นบุตรชายของฉัน บาทหลวงชาวคริสเตียนคนนี้ก็บอกว่าท่านไม่ต้องปกปิดหรอก เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกชายของท่านอย่างแน่นอน บาทหลวงคนนั้นก็ได้ถามต่อว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม อบูตอลิบเมื่อรู้ว่าบาทหลวงคนนี้รู้บางสิ่งบางอย่าง ท่านก็บอกใช่ เด็กคนนี้เป็นลูกกำพร้า อบูตอลิบได้ถามต่อว่าทำไมท่านถึงรู้ บาทหลวงตอบว่า ฉันได้เห็นสัญญาณต่างๆที่ปรากฎขึ้นกับเด็กคนนี้ ฉันได้ดูเมื่อตอนที่เขาเดินทางในกลางแจ้งนั้น จะมีเมฆบดบังตัวของเขาอยู่เสมอเพื่อที่จะไม่ให้แสงอาทิตย์นั้นโดนร่างของเขาและประกอบกับสัญลักษณ์ต่างๆอย่างมากมาย หลังจากนั้นบาทหลวงคนนั้นก็ได้สรุปกับอบูตอลิบว่า จงปกปักษ์พิทักษ์รักษาเด็กคนนี้ไว้ให้ดีให้พ้นจากเงื้อมมือของยาฮูดีและนัสรอนี
อันเนื่องจาก หากพวกเขารู้เรื่อง พวกเขาจะฆ่าเด็กคนนี้ทิ้งเสีย เพราะว่าเด็กคนนี้นั้น คือศาสดาพยากรณ์ เด็กคนนี้นั้นคือศาสดาองค์สุดท้าย ซึ่งเมื่อเขาประกาศตัว ก็ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดความชอบธรรมทางศาสนาของยาฮูดและนัสรอนี ซึ่งเป็นสิ่งที่อบูตอลิบนั้นรู้ถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้มาตลอด
กลับมาที่เรื่องของท่านหญิงคอีญะฮ์(สลามุลลอลัยฮา) กับข่าวว่าจะมีหนุ่มกุเรชคนหนึ่งจะเป็นศาสดาพยากรณ์ ก็มีการสืบหาว่าใครคือชายคนนั้น หญิงกุเรชคือต้องการที่จะเป็นภรรยา ในระหว่างค้าขายที่ท่านนบี (ศ็อลฯ)รับจ้างหรือรับใช้ท่านหญิงคอดียะฮ์(สลามุลลอลัยฮา)ก็เกิดเรื่องราวต่างๆแบบนี้อีกเช่นกัน
ในระหว่างกองคาราวาน เหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ) ก็ได้ถูกเก็บมาเล่าให้กับท่านหญิงคอดีญะฮ์ ว่าแปลกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าท่านนบี(ศ็อลฯ) จะเดินไปไหนจะมีเมฆบัง แล้วก็เหตุการณ์อื่นๆอีกหลายๆอย่าง เมื่อท่านหญิงคอดียะฮ์(สลามุลลอลัยฮา)ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับท่านนบี ท่านหญิงได้พูดคำหนึ่งกับบุคคลที่มาเล่าซึ่งคำพูดนี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน โดยท่านหญิงคอดียะฮ์(สลามุลลอฮิอลัยฮา) กล่าวว่า
ان کان ما قال الیهود حقا
ถ้าเป็นตามที่ยาฮูดีกล่าวนั้นเป็นจริง
ماذاک الا ذاک
ดังนั้นชายหนุ่มคนนั้นคงจะไม่ใช่คนอื่นอย่างแน่นอน คงจะต้องเป็นบุรุษผู้นี้อย่างแน่นอน ที่พวกยาฮูดีที่เข้ามาในมักกะห์กำลังค้นหาว่า ใครคือบุรุษผู้นั้น ว่าใครคือศาสดาพยากรณ์องค์นั้น
ดังนั้นคำพูดนี้ของท่านหญิงคอดีญะฮ์(สลามุลลอลัยฮา) ก็เป็นเครื่องพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่า ท่านหญิงคอดียะฮ์ก็รู้ล่วงหน้าว่า มูฮัมมัด บุตรของอับดุลลอฮ์ คือศาสดาพยากรณ์ จากความรู้ที่ได้รับในข่าวคราวที่พวกยาฮูดนำมาปล่อยในมักกะห์พร้อมกับรายละเอียดที่ท่านหญิงได้ข้อมูลมาจากบุคคลที่ติดตามไปในกองคาราวานของท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)
ดังนั้น ยิ่งเพิ่มความรักความต้องการของท่านหญิงที่ต้องการที่จะได้ท่านนบี(ศ็อลฯ)เป็นสามี เพราะถือว่าเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับท่านหญิง ก็พยายามที่จะปรึกษาหารือ แต่แน่นอนเพราะท่านหญิงคอดีญะฮ์เป็นผู้หญิง ผู้หญิงจะล้ำหน้าก้าวไปก่อน เป็นสิ่งที่น่าเกลียด ก็ได้ปรึกษากับท่านหญิงฮาละฮ์ซึ่งเป็นน้องสาวหรือพี่สาวของท่านหญิงคอดียะฮ์ในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ) ว่าท่านหญิงนั้นได้มีความประสงค์ มีความต้องการที่จะสมรสกับท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ) ช่วยหาช่องทาง ฮาละฮ์ก็ได้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับอัมมาร อัมมารบินยาซิร หรือบิดาของอัมมารก็ได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับอบูตอลิบว่า
เหมาะสมที่สุด ผู้หญิงคนนี้แหละเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดกับท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ) เหมาะสมที่สุดกับชายที่ได้รับการขนานนามว่า “อัลอามีน”
💠คุณลักษณะของท่านหญิงคอดีญะฮ์ (อ)
เหตุผลที่เหมาะสมที่สุด เพราะในตัวของท่านหญิงคอดีญะฮ์(สลามุลลอฮิอลัยฮา) ในยุคนั้นก็ได้รับฉายานามต่างๆอย่างมากมายเช่นกัน ท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)ได้รับฉายา “อัลอามีน” และท่านหญิงคอดียะฮ์ในยุคนั้น ในมักกะห์ท่านหญิงก็ได้รับฉายานามมากมาย อาทิ
“อะฟีฟะฮ์” คือหญิงที่รักษาพรหมจรรย์
“อากีละฮ์” คือหญิงที่มีสติปัญญา ที่ปราดเปรื่อง
“ฮากีมะฮ์” คือหญิงที่มีฮิกมะฮ์ หญิงที่มีวิทยปัญญา
“ซัยยะติลกุเรช” คือหญิงที่เป็นนายหญิงของหญิงกุเรชทั้งหมด
“ฏอฮีเราะฮ์” คือหญิงที่สะอาดบริสุทธิ์
นี่คือฉายาที่เลื่องลือในมักกะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิฟฟะฮ์ เรื่องฮิกมะฮ์ เรื่องอากีดะฮ์ ซัยยิติลกุเรชหรือฏอฮีเราะฮ์ คือสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งหมดอยู่ในตัวของท่านหญิงคอดียะฮ์อย่างสมบูรณ์