“อัยยามุลฟาฏิมิยะฮ์” รำลึกถึงประมุขสตรีแห่งสากลจักรวาล [ตอนที่ 4]

11
อัยยามุลฟาฏิมิยะฮ์ รำลึกถึงประมุขสตรีแห่งสากลจักรวาล [ตอนที่ 4]
📝บางส่วนจากการบรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามฯ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
________________

[เนื้อหาต่อจากตอนที่ 3]

••• สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝาก โดยเฉพาะในฮะดิษ ในอัลกรุอานมีมากมายหลายตัวบท ที่หนึ่งประโยค หนึ่งคำกล่าวของอัลกุรอาน หรือฮาดิษนั้น มีมากมายหลายความหมาย ซึ่งอาจจะเป็นความรู้ใหม่สำหรับพวกเราบางคน โดยที่บางครั้ง มีความหมายทั้งทางด้านอัคลาก ทางด้านภาษา ทางด้านฟิก ทางด้านอิรฟาน และ บางครั้งทางด้านมะรีฟัต ไม่ว่าเราจะใช้ไปในทางไหน ในแต่ละความหมาย ก็จะมีความแตกต่าง และความลึกซึ้งที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ฮะดิษของท่านรอซูลุลลอฮ(ศ็อลฯ)

ซึ่งเราจะกล่าวถึงในระดับขั้นที่สอง

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) คือ สตรีผู้ได้รับการเชิดชูโดยพระผู้เป็นเจ้า จากอัลกุรอ่านและฮะดิษ ซึ่งท่านนบี(ศ็อลฯ) พูดแทนอัลลอฮ(ซบ.)

คือ สตรีผู้ที่ได้รับการเชิดชูจากศาสนฑูตของอัลลอฮ(ซบ.) แน่นอน หนึ่งในฮะดิษที่สำคัญในการเชิดชูที่สำคัญ ที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป หลังจากที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ) ได้พิสูจน์ถึงความเป็น“อัลเกาษัร” ของนาง

ท่านรอซูลุลลอฮ(ศ็อลฯ)ได้ประกาศสถานภาพที่ยิ่งใหญ่ของนางว่า….

นางคือ «ام ابیها» (อุมมุอาบีฮา) ความหมายตรงนี้ต้องการจะอธิบายให้พี่น้องเข้าใจว่า…
นางคือ“มารดาของบิดา”

อธิบายในภาษาทางด้านความหมายของอัคลาก ก็จะอธิบายได้ว่า… นางคือ “สตรีผู้หนึ่ง บุตรีผู้หนึ่งซึ่งได้ทำหน้าที่แทนมารดาได้อย่างสมบูรณ์” นี่คือ ความหมายของฮะดิษบทนี้

ทางด้านอัคลาก หมายถึง สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นบุตรของบิดา แต่ทำหน้าที่ของมารดาได้อย่างสมบูรณ์ ห่วงใย ดูแลบิดาของตัวเอง เหมือนกับมารดาดูแลบุตร มีความห่วงใยในศาสดา เป็นความรักที่มีต่อศาสดาเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือ ความหมายทางด้านอัคลาก

แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ฮะดิษของบรรดามะอฺศูมีน(อ)นั้น ไม่ได้มีนัยยะเดียว ฮะดิษบทนี้ก็เช่นกัน

ถ้าเราไปอ่านคำอธิบายที่สูงขึ้นไปกว่านั้น
ในความหมายของ ‘อิรฟาน’ หรือในความหมายของบุคคลที่มี ‘มะรีฟัต’ที่สูงส่ง เราก็จะได้ความหมายที่สูงส่งมากไปกว่าความหมายทางด้านอัคลากหรือความหมายทางด้านทั่วไปอีก

ฮะดิษบทเดียวกันนี้ «ام ابیها» (อุมมุอาบีฮา) = (ผู้เป็นมารดาแห่งบิดา)ก็ถูกอธิบายด้วยรูปลักษณะนี้

ท่านอยาตุลลอฮ ฮาซันซอเดะอามูลี ท่านเป็นหนึ่งในเอาลิยาอฺ ของ อัลลอฮ(ซบ.) ในเมืองกุม และความเป็นเอาลิยาอ ความเป็นวะลีของท่าน เป็นที่ยืนยันของบรรดาอาเล็มอุลามาอฺชั้นสูงว่า เป็น หนึ่งในเอาลิยาอฺของอัลลอฮที่ยังเดินอยู่ใน ณ แผ่นดิน [*ปัจจุบันท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว เราะฮิมาตุลลอฮ์ตะอาลาอะลัย]

ท่านอยาตุลลอฮ ฮาซันซอเดะ ออมูลี ได้อธิบายให้เห็นถึงความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่า “มารดา” หมายถึงอะไร? ในความหมายทางด้านในคือ ผู้ให้กำเนิด ผู้เป็นปฐมฤกษ์ ผู้เป็นปฐมเหตุ

บางครั้งเราจะใช้คำนี้ ว่าเป็น ‘แม่บท’
คำว่า ‘แม่บท’ คือ ปฐมเหตุ ปฐมฤกษ์ของบทบาทต่างๆ ท่านก็จะทำการอธิบาย เมื่อเราเข้าใจในความหมายนี้ ฮะดิษอื่นๆก็จะถูกทำการอธิบายเหมือนฮะดิษที่อาจารย์รอฟีอี [ผู้ดำเนินรายการมัจลิส] พูดสั้นๆ ซึ่งอัลลอฮ(ซบ.)ได้กล่าวกับท่านนบีใน “อิสรออ์-เมี๊ยะรอจ” ว่า…

“ยาอะห์หมัด !!! โอ้อะห์หมัดเอย !!!

‎يـا أَحْمَدُ! لَوْلاکَ لَما خَلَقْتُ الْأَفْلاکَ، >>

“ ถ้าไม่มีเจ้า ฉันจะไม่สร้างสรรพสิ่งทั้งหมด”

ไม่มีความจำเป็นที่จะสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินต่างๆ ถ้าไม่มีท่านนบี ไม่มีท่านศาสดาอย่างท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ) สรรพสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นมา มนุษย์ก็ไม่ควรที่จะมีอยู่ในโลกนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา

ฮะดิษบทนี้ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ อัลลอฮ์(ซบ.) บอกว่า แต่ว่าจงรู้ไว้ว่า…

‎ (ولولا علی لما خلقتک )แต่ถ้าไม่มีอาลี ฉันก็จะไม่สร้างเจ้าเหมือนกัน

ตรงนี้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพ ที่ยิ่งใหญ่ของท่านอิมามอาลี(อ) มีคนอย่างท่านนบีมูฮัมมัด(ศ็อลฯ)แต่ไม่มีผู้สานต่ออย่างท่านอาลี ยิบนีอบีฏอลิบ โลกนี้ก็ไม่ควรที่จะสร้างขึ้นมา ความยิ่งใหญ่ของผู้สานต่อ ศาสดาองค์หนึ่งที่เหน็ดเหนื่อย ถ้าไม่มีท่านอิมามอาลี(อ) ความเหน็ดเหนื่อยของท่านศาสดานั้นอาจจะสูญเปล่า

ในวันหนึ่ง อัลลอฮ (ซบ.) จึงชี้ให้เห็นถึงสถานภาพของท่านอิมามอาลี(อ) และฮะดิษบทนี้ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ทว่าอัลลอฮ์(ซบ.) ตรัสต่อว่า…

‎(لولا فطمه لما خلقتکما )

“และถ้าไม่มีฟาฏิมะฮ์(อ) เราก็จะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง”

อาเล็มอุลามาอฺชั้นสูงได้ชี้ให้เห็นว่า …

ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ)คือ บ่อเกิดของทุกสรรพสิ่ง
ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ) คือ มารดาของสรรพสิ่ง

ในที่นี้ต้องการจะบอกว่า แต่ละฮะดิษก็มีความหมายในลักษณะนี้ ที่เราเองก็อาจจะเคยฟัง…

– ‘ถ้าท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ)โกรธ อัลลอฮฺ(ซบ.) โกรธ’

ความหมายของภาษานั้น ถือว่ายิ่งใหญ่มากมายเพียงพอแล้ว

– ถ้าท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)พึงพอใจ อัลลอฮฺ(ซบ.)ก็พึงพอใจ

– ถ้าท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)โกรธ อัลลอฮฺ(ซบ.)ก็โกรธ

ทว่าในความหมายทาง ‘ด้านอิรฟาน’ … ฮะดิษบทนี้ในทัศนะมุมมองของบรรดาอาลิมอุลามาอฺ ที่เป็นเอาลิยาอฺของอัลลอฮ(ซบ.)นั้น ก็จะยิ่งสูงส่งเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้

เพราะเรื่องของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพอันยิ่งใหญ่

ดังนั้น คำพูดของบรรดาอะฮ์ลุลเบต(อ)บรรดามะอฺศูมีน(อ)นั้นมันมีความหมายหนึ่ง ซึ่งต้องขอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง โดยได้เคยบอกไปแล้วว่า บรรดาอาอิมมะฮ์(อ)ได้บอกและยํ้าอยู่เสมอๆ ว่า…

ถ้าเราได้ศึกษาเรื่องราวฮะดิษของอะห์ลุลเบตนั้น จงจำเอาไว้ว่ามันไม่ได้มีความหมายเดียว

‎ “إن حديثنا صعب مستصعب”

ทั้งฮะดิษ และเรื่องราว คำรายงานต่างๆของเรานั้นเป็นสิ่งที่ยาก ที่ “ ศออาบุมุสตัศอับ ”
‎(صعب المستصعب) สิ่งที่ยากที่เรียกหาความยากขึ้นไปอีก ยิ่งเจาะลึกเข้าไปอีกก็ยิ่งยากมากขึ้น

บรรดาอาอิมมะฮ ท่านอิมามญะฟัร (อ.) ได้บอกว่า (لا يحمله) ไม่มีใครแบกรับความหมายอื่นๆของมันได้ ความหมายหนึ่งทุกคนแบกรับได้ แต่หลายๆคนก็แบกรับไม่ได้ เรามีมวลมุสลิม เรามีผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ (ซ.บ) เรามีคนละหมาด 5 เวลา เรามีคนไปทำฮัจญ์เป็นร้อยๆครั้ง แต่มีคนเป็นจำนวนมากไม่สามารถที่จะแบกรับแม้แต่ความหมายแรกของมัน

ความหมายแรก ในฆอดีรกุม มีผู้คนนับเป็นแสนคน แต่มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะแบกรับความหมายแรกของมัน

‎ “من كنتُ مولاه فهذا علي مولاه”

ยอมรับท่านอิมามอาลี(อ)เป็นผู้นำในความหมายแรกของมัน เป็นผู้นำทางด้านรัฐ เป็นผู้นำในโลกดุนยาก็ยังไม่สามารถที่จะรับได้ เรื่องราวแห่งอะห์ลุลเบตมีเรื่องราวที่หนักเป็นอย่างมาก

‎“(لا يحمله)” ไม่มีใครสามารถที่จะรับเรื่องราวของเราได้

‎ “إن حديثنا صعب مستصعب” ยากที่จะเรียกหาความยากอีก

‎ “(لا يحمله)” ไม่มีใครที่จะสามารถแบกรับมันได้

‎ “إلا الأنبياء والمرسلين” เว้นแต่บรรดานบีและรอซูล

‎ “الملائكة المقربين” และบรรดามะลาอีกัตที่ “มุกัรรอบีน”ด้วย

ไม่ใช่มะลาอีกัตธรรมดา มะลาอีกัตธรรมดาก็รับไม่ได้ เข้าใจไม่ได้

ต้อง “الملائكة المقربين” มะลาอีกัตที่ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์(ซบ.)

ซึ่งแน่นอนตำแหน่งของมะลาอีกัตเหล่านี้สูงส่งเป็นอย่างมาก

‎ “مؤمن امتحن الله قلبه للايمان”
และบรรดามุมินที่อัลลอฮ(ซบ.)ทำการทดสอบอีมานและหัวใจของพวกเขาแล้ว

ซึ่งแน่นอนบุคคลที่อัลลอฮ(ซบ.)ทดสอบอีมานและหัวใจที่มีความเข้มข้น จึงสามารถที่จะรองรับเรื่องราวที่ลึกซึ้ง เรื่องราวของบรรดาอะห์ลุลเบต(อ)ในมิติพิศวง

แน่นอนมันต้องมีมิติพิศวง เพราะถ้ามันไม่มีเรื่องมิติพิศวง เราจะไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องราวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)ได้ เพราะสตรีผู้หนึ่งที่เป็นบุตรแต่ท่านศาสดาบอกว่า นี่คือ “มารดาของบิดา”

สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวของท่านศาสดา แต่ท่านศาสดาให้เกียรติกับนางเป็นอย่างมาก

เราต้องอย่าลืมเรื่องราวต่างๆ แม้นกระทั่ง การจุมพิตไปที่มือของลูกนี้มันเป็นสิ่งที่แปลกผิดปกติธรรมดา ซึ่งโดยหลักศาสนาเบื้องต้นลูกจะต้องจูบมือของพ่อแม่

แต่ท่านนบีจะจูบมือของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ) ท่านนบีทำเป็นประจำ เมื่อพ่อแม่เดินเข้ามา เมื่อพ่อแม่ปรากฏตัว ลูกจะต้องลุกขึ้นจากที่นั่งให้พ่อให้แม่ แต่เมื่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)เข้ามาในบ้านของท่านนบี(ศ)

ท่านนบี(ศ) จะลุกจากเก้าอี้ให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)นั่งบนเก้าอี้ แล้วท่านนบี(ศ) จะยืนให้เกียรติคุยกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)

นี่คือ สถานภาพหนึ่ง ของสตรีที่เรารำลึกถึงนางในช่วงคืนวันนี้ และเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับการกระทำ เกี่ยวกับคำพูดของศาสดา มีอยู่มากมายเป็นจำนวนมาก ไม่ได้จบเพียงเท่านี้•••

[โปรดติดตามตอนต่อไป]
___________

Facebook : @syedsulaiman.th
Instagram : @syedsulaiman_thailand
YouTube : Syedsulaiman. com