🔴 การเผชิญหน้าระหว่างมุสลิม ๒ แนวคิด
📝 บางส่วนจากการบรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามฯ ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
___________________
••• เราเคยย้ำเตือนกับท่านทั้งหลายตลอดมาว่า มุสลิมกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ระหว่างอิสลาม ๒ แนวคิด คือ
๑. อิสลามอันบริสุทธิ์แห่งมุฮัมมะดี
๒.อิสลามแห่งซุฟยานีหรืออเมริกันอิสลาม
🔹แนวความคิดอิสลามแห่งซุฟยานี คือ อิสลามที่ถูกปรุงแต่งโดยลูกหลานของอะบูซุฟยาน แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากอิสลามแห่งมุฮัมมะดีที่คำสอนสืบทอดโดยอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ที่เป็นทายาทของท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อลฯ) โดยตรง
ทว่า เมื่อจริยวัตรของท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ถูกบนีอุมัยยะฮฺและผู้สืบทอดอำนาจ บิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ซึ่งเห็นได้จากหนังสือ “โองการแห่งซาตาน ” ที่เขียนขึ้นโดย ซัลมาน รุชดี จนนำไปสู่การวินิจฉัยของท่านอยาตุลลอฮฺโคมัยนี(รฎ) ให้กำจัดมารศาสนาคนนี้ให้จนได้
“โองการแห่งซาตาน ” ข้อเขียนจากหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีความตั้งใจผลิตออกมา เพื่อดูหมิ่นศาสนาอิสลามที่มีท่านศาสดาเป็นรอซูลของพระองค์อย่างร้ายแรง
อีกทั้งลัทธิวะฮาบีมีทัศนะเกี่ยวกับท่านศาสดาเหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ที่นำส่งสาส์นจากอัลลอฮฺ(ซบ)เพียงเท่านั้น เสร็จแล้วก็เป็นอันหมดหน้าที่กันไป ซึ่งต่างจากมุมมองของมุสลิมผู้ศรัทธาโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องชีอะฮฺและพี่น้องซุนนีที่ให้ความสำคัญยิ่งต่อจริยวัตรอันประเสริฐของท่านศาสดา โดยเฉพาะพี่น้องซุนนี เมื่อถึงตอนศอลาวาตทุกคนพร้อมกันยืนขึ้นแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ พร้อมกับประพรมแป้งหอมและเครื่องหอมอื่นๆ เพื่อความสุนทรียภาพประโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำอิ่มเอิบกับจริยวัตรอันประเสริฐที่มีต่อท่านศาสดา
💠 มีฮะดิษและริวายะฮฺที่พวกเราเชื่อมั่นว่า แม้ท่านศาสดากลับคืนสู่พระเมตตาแห่งอัลลอฮฺ(ซบ) ไปแล้ว แต่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่นิรันดร์ เช่นนี้แล้ว ความรักความเทิดทูนการสดุดี การแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ และการแสดงมุทิตาจิต ที่พวกเรามีต่อท่านศาสดานั้น แน่นอนว่าท่านศาสดารับรู้ถึงสิ่งที่มุสลิมได้แสดงออกเป็นอย่างดี
ดังนั้น หากมุสลิมหลงประเด็นไปตามมุมมองของลัทธิวะฮาบีที่มองท่านศาสดาเป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ ดังนี้แล้ว หากท่านศาสดาเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ ก็ย่อมมีบุรุษไปรษณีย์ท่านอื่นนำสาส์นจากพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ) มาเผยแพร่ต่อไป
ในการทำความเข้าใจว่า ถ้ายกคอลีฟะฮฺในยุคต้นๆ ที่เป็น “لخلافة الراشدية ”(คอลีฟะฮฺรอชิดีน) ก็พอทำเนา แต่ถ้าเกิดเป็นคอลิฟะฮฺตั้งแต่ยุคอาลิซาอูดที่ปกครองแผ่นดินฮิญาซของท่านนบีแล้วเปลี่ยนชื่อไปตามตระกูลของตนว่าซาอุดิอาระเบีย หรือถ้าบรรดาฏอฆูตต่างๆเหล่านี้อ้างตนว่าเป็นคอลีฟะฮฺ ดังเช่น คอลิฟะฮฺอีกหลายประเทศในบริเวณอ่าวอาหรับ อะไรจะเกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิม!!!
อินชาอัลลอฮฺ โชคดีที่พี่น้องซุนนีกับพี่น้องชีอะฮฺยังมีความผูกพันกับจริยวัตรของท่านศาสดาอย่างลึกซึ้ง จึงได้ร่วมกันจัดงานสดุดีโดยพร้อมเพรียงกันในเดือนรอบีอุลเอาวัลมาโดยตลอด จนถูกลัทธิวะฮาบีใส่ร้ายต่างๆ นานา บ้างก็ประกาศว่าเป็นเมาลิดของชีอะฮฺ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ จากการใส่ร้ายนี้อาจนำไปสู่ความผูกพันระหว่างพี่น้องชีอะฮฺกับพี่น้องซุนนีมากขึ้น เพราะทั้งสองนิกาย เดิมที่นั้น มีความผูกพันต่อกันได้นั้นก็โดยสายใยแห่งความผูกพันต่อท่านศาสดาเป็นปฐมบทอยู่ก่อนแล้ว
ฉะนั้น ด้วยมุมมองที่ลัทธิวะฮาบีเห็นว่าท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ พวกเขาต้องการชี้ว่า จะมีผู้ส่งสาส์นคนต่อๆไปอย่างไม่สิ้นสุดนั้น ทว่ายิ่งเขาบิดเบือน กลับทำให้ผู้ศรัทธาที่รักในท่านศาสดารู้ว่า การปลูกฝังแนวความคิดนี้ของลัทธิวะฮาบีนั้น มีเป้าหมายเพื่อที่จะให้ลูกหลานของตนได้สืบทอดอำนาจ แล้วนำไปสู่การบิดเบือนอิสลามอันบริสุทธิ์จากท่านศาสดาเป็นผู้นำมาสั่งสอนตามโองการของพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ) ได้ชัดขึ้น
กรณีพี่น้องมุสลิมที่ไปประเทศซาอุดิอาระเบีย ถ้าหากเขาพิจารณาเขาจะเห็นว่า บุคคลใดก็ตามที่จะไปซิยะรัตสุสานท่านศาสดา สิ่งหนึ่งที่ถูกปิดล้อม คือ สุสานท่านศาสดา เพราะพวกเขาไม่อนุญาตให้พี่น้องมุสลิมเข้าคาราวะเยี่ยมเยียนสุสาน บ้างก็ทุบตี หรือไล่บรรดาผู้ที่ไปซิยะรัต ซึ่งชัดเจนว่า ทุกการกระทำของพวกเขา เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี
🔻ทีนี้ เรามาทำความรู้จักธาตุแท้ของลัทธินี้เพื่อให้เห็นกับตาอย่างชัดเจนและทันเหตุการณ์ ที่นักวิชาการของพวกเขาคนหนึ่ง ชื่อว่า อุรอุร เป็นมุฟตีระดับโลกของลัทธิอันน่าอัปยศของพวกเขา
อุรอุร มุฟตีลัทธิวะฮาบี กล่าวว่า “ให้พวกเราได้อยู่ในกองทัพของซุฟยานี เพื่อที่จะได้สู้กับกองทัพของมะฮฺดีด้วยเถิด”
🔹แน่นอน ประชาติอิสลามทั้งซุนนีและชีอะฮฺรู้ดีว่า ก่อนถึงวันกิยามะฮฺในยุคอาคิรุซซะมานจะปรากฏกกองทัพหนึ่งที่เป็นกองทัพของดัจญาล เรียกว่า กองทัพของซุฟยานีที่นำกองทัพโดยลูกหลานของอะบูซุฟยานออกมาต่อสู้กับกองทัพของมะฮฺดี
ดังนั้น เรื่องราวของท่านอิมามมะฮฺดี(อ) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในอิสลาม และเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความจริงแล้วท่านศาสดาได้กล่าวรายละอียดอย่างสมบูรณ์ และอุลามาอฺบางท่านบอกว่า เกี่ยวกับคำสั่งเสียนี้ มีฮะดิษรายงานถึง 72 สาขา ความว่า…
“ หากอิสลามแตกแยกกันมากเท่าใดเรื่องราวของอิมามมะฮฺดี(อ) ก็จะเป็นเรื่องที่มุตะวะตีรฺ “
รวมทั้งมีฮะดิษ มีรายงาน วจนะจากท่านศาสดายืนยันถึงบุคลากรที่จะกลับมาฟื้นฟูให้อิสลามนั้นครองโลก ความว่า…
“บุตรของฉัน หลานของฉัน ชื่อของเขาเหมือนชื่อของฉัน คือ ตัวแทนของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ)”
เห็นได้ว่า จากฮะดิษ จากริวายัตต่างๆ แท้จริงแล้ว บทสรุปจากท่านศาสดาวจนะล่วงหน้าแล้วว่า…
❇️ “อิมามมะฮฺดี(อ) คือ ตัวแทนของท่านนบี
กองทัพอิมามมะฮฺดี(อ) คือ กองทัพธรรม”
อิมามจะรวบรวมมุสลิมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยการชูธง “لاَإِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ” นำความยุติธรรมคุ้มครองโลก สืบทอดความเมตตาแห่งสากลจักรวาลที่อัลลอฮฺ(ซบ) ทรงประทานให้กับท่านศาสดามาปฏิบัติให้โลกได้เห็น
อีกทั้งยังเป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า ลูกหลานของท่านศาสดาคนสุดท้าย คือ ผู้นำความเมตตาแห่งสากลจักรวาลอันเป็นจริยวัตรสูงสุดของท่านศาสดาที่เป็นปู่ทวดของท่านมาปกครองมนุษยชาติให้อิ่มเอิบด้วยความสุข ความสันติ โลกทั้งใบมีความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง
ดั่งวจนะที่ท่านรอซูล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า….
“มะฮฺดีที่จะปรากฏตัวในยุคสุดท้ายนั้นจะทำให้โลกนี้มีแต่ความยุติธรรม มีสันติภาพ เสรีภาพ การกดขี่และความอยุติธรรมทั้งหลายจะหมดไป”
💠 มีริวายะฮฺจำนวนมากรายงานว่า มนุษยชาติส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามแต่ก็อยู่ใต้ร่มธงแห่งความเมตตาของอิมามมะฮฺดี(อ) และด้วยบารมีแห่งความเมตตานี้ทุกคนก็ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามในที่สุด
ในการชี้ว่า ท่านอิมามมะฮฺดี(อ) มาเพื่อนำความเมตตาแห่งสากลจักรวาลของท่านศาสดามาปฏิบัติให้โลกเห็น โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา มาเพื่อให้มนุษยชาติประจักษ์ชัดในคุณธรรมอันประเสริฐของศาสดาแห่งอัลลอฮฺ(ซบ) อันเป็นการยืนยันสัจธรรมจากอัลกุรอานและฮะดิษ
🔹 ทว่าแทนที่อุลามาอฺของลัทธิวะฮาบีจะได้สำเหนียกกลับขอดุอาอฺให้ตนอยู่กับกองทัพของซุฟยานีเพื่อต่อสู้กับกองทัพของอิมามมะฮฺดี(อ) เสียเอง และชี้ชัดว่า การประกาศของเขาไม่ได้สำนึกผิดชอบชั่วดี ไม่ได้ละอายต่อพี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นในคำปฏิญาณตนสูงสุดของอิสลามว่า
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ(ซบ) และมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) คือศาสนฑูตของพระองค์”
บริบทเหล่านี้ พิจารณาได้จากตรรกะการปฏิเสธกองทัพอิมามมะฮฺดี(อ) ก็คือการปฏิเสธกองทัพของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และความจริงที่ปรากฏอีกประการหนึ่ง มุฟตี บินบาซ อุลามาอฺของวะฮาบีได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ และด้วยความยะโสโอหังด้วยว่า…
“ตนสอนหนังสืออยู่ในมัสยิดดุนนบีมาแล้วสี่ห้าสิบปี และรู้ว่าในมัสยิดมีสุสานของท่านรอซูลอยู่ตรงกลาง แต่กลับบอกว่า อย่าว่าแต่จะให้สลามเลย แม้แต่จะมองไปที่สุสานก็ยังไม่เคยหันไปมองเลย”
ตามปกติของมุสลิมที่เป็นวิญญูชนต้องเข้าใจว่า อิสลามสอนให้มุสลิมรักบิดามารดา รักเอาลิยาอฺและอัมบิยาอฺของอัลลอฮฺ(ซบ) และความจริงแล้วมีฮะดิษยืนยันด้วยว่า….
“การไปขอพรที่สุสานของบิดามารดา แม้จะไม่ได้ถือว่าที่สุสานไม่ได้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่สามารถกระทำได้ด้วยสิทธิแห่งความเป็นบิดามารดาตน”
ดังนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่สุสานของท่านศาสดากลับถูกมองตามทัศนะของลัทธิวะฮาบี เพราะแท้จริงแล้ว สุสานของท่านศาสดา คือ สถานที่ที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณและเป็นการตะวัซซุลขั้นสูงสุด
เช่นนี้แล้วยิ่งมิบังควรลบหลู่ดูหมิ่นทั้งด้วยกาย วาจา ใจ และยิ่งอ้างตนว่าเป็นอุลามาอฺด้วยแล้ว แถมเป็นอุลามาอฺระดับมุฟตี จึงเป็นมหันตโทษอันอุกฤษฏ์ โทษที่เขาพึงได้รับจากอัลลอฮฺ(ซบ) จึงเป็นอาจินไตย
อิสลามสอนมุสลิมว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา”
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นมารดาอย่างลึกซึ้ง ที่สุสานของบิดามารดาจึงเป็นสถานที่ที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณของลูกหลานอันจะนำไปสู่การแสดงความรักความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อศาสดานบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ในที่สุด•••