นิซฟูชะอฺบาน – วันคล้ายวันประสูติ อิมามมะฮ์ดี (อ) “มหาบุรุษที่โลกรอคอย” (ตอนที่ 4)

94

🎈นิซฟูชะอฺบาน 2020 Part 4 วันคล้ายวันประสูติ อิมามมะฮ์ดี (อ) “มหาบุรุษที่โลกรอคอย”

(ค่ำ 15 ชะอฺบาน 1441) บรรยายพิเศษโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลิมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี


🔴 การมีมะรีฟัตต่ออิมามซามาน

การมีมะรีฟัตต่ออิมามซามาน คือ ภารกิจหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งจริง ๆแล้วภารกิจนี้ ถ้าใช้ในเชิงลึก ต้องใช้กับ “ประชาชาติ” แต่สำหรับพวกเราแล้ว ดูเหมือนจะกว้างไป ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย เราจะใช้คำว่า “สำหรับมุสลิม” หรือให้แคบใกล้ตัวขึ้นมา คือใช้ “สำหรับชีอะฮ์” ที่ต้องมีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุคของเขา

💠 ความสำคัญของการมีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุค

การมีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุคสำคัญขนาดไหนนั้น เราจะอธิบายให้ทุกคนยอมรับโดยดุษฎี เบื้องต้นขอเกริ่นนำว่า ภารกิจนี้อาจเรียกได้ว่า สำคัญกว่าการละหมาด สำคัญกว่าการถือศีลอด แต่ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ไม่ใช่การละหมาดหรือถือศีลอดไม่วาญิบ จริงอยู่อิบาดัตทุกอย่างสำคัญ แต่เป้าหมายจะชี้ถึง “การมีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุคของเขา” นั้น สำคัญกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด

➡️ คำถาม : ทำไมผมถึงกล้าพูดว่า การมีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุคสำคัญกว่าการละหมาด

➡️ คำตอบ : เบื้องต้นไม่ขอทับศัพท์ก่อนว่า “มะรีฟัตแปลว่าอะไร” ทว่าคำตอบ คือ ถ้ามุสลิมดำเนินชีวิตโดยไม่มีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุค การตายของเขา จะเป็นการตายแบบญะฮีลียะฮ์

🔴 ภาพลักษณ์ญะฮิลียะฮ์

ทีนี้เรามาศึกษาการตายแบบญะฮีลียะฮ์ ความจริงแล้ว คำว่า “ญะฮีลียะฮ์” สามารถอธิบายได้มาก เพราะเป็นโวหารที่ใช้กับวัฒนธรรมอาหรับก่อนการมาของศาสนาอิสลาม

ดังนั้น คนที่เป็นมุสลิม เมื่อเราพูดถึงญะฮีลียะฮ์ ก็คือ คนที่ไม่ทำละหมาด ไม่ถือศีลอด และไม่ใช่แค่นี้ แต่รวมถึงคนไม่มีพระเจ้า

💠 คำนิยาม “ญะฮีลียะฮ์

ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะมานั้น เผ่าอาหรับยังเป็นพวกเร่ร่อน ที่มีกฎสังคมเป็นของตนเอง และมักบูชาเทพหลายองค์ ถึงแม้ว่าจะมีการนับถือเอกเทวนิยมก็ตาม แต่ความเชื่อส่วนใหญ่จะอยู่กับการบูชารูปปั้น ถ้าใช้ในเชิงลึกแล้ว คำนี้มักจะใช้เป็นสภาพสังคม ไม่ใช่สมัยทางประวัติศาสตร์ โดยคำนี้มักใช้อธิบายถึงยุคแห่งความโง่เขลาและมืดมิดซึ่งนำไปสู่การมาของอิสลาม และมันมักใช้สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับความศรัทธาของมุสลิมในแบบทั่วไป

เรามักจะได้ยิน คำว่า “شرك” ชีริก ชิริก ชิริก หรือ “การสร้างภาคี” นี่คือนิยามของคำว่า “ญะฮีลีญะฮ์” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มุสลิมทุกๆคนจะต้องเข้าใจถึง การไม่มีคุณธรรม การไม่มี “انسانية الانسان” (อินซานียาตุลอินซาน) ซึ่งถ้าแปลไทยแบบดิบๆ ก็คือ “มนุษยธรรม”

ทว่า คำว่า “انسانية الانسان” กับ คำว่า “มนุษยธรรม” หากแปลความหมายเชิงลึกในด้านรายละเอียดอาจต่างกัน เนื่องจาก อินซานของเราในหลักวิชาการอิสลาม คือ ความเป็นมนุษย์

หากถามว่า ความเป็นมนุษย์คืออะไร เราจะอธิบายง่าย ๆ คือ ความมีเมตตา มีความกรุณา มีความสงสาร มีความรัก มีการอภัย

นี่คือความเป็นมนุษย์ ส่วนในหลักวิชาการอิสลาม ความหมายจะลึกและยากขึ้น คือ การมีสติ เพราะชีวิตที่ไม่มีสติไม่ใช่ชีวิตของมนุษย์ ดังนี้แล้ว ชีวิตของมนุษย์ที่แท้จริง ก็คือ “การมีสติ”

ดังนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่า “ญะฮีลียะฮ์” ความหมายของ การไม่มีมนุษยธรรมนั้น ก็อยู่ร่วมในคำว่า ญะฮีลีญะฮ์ด้วย

🔸ตัวอย่าง : ญะฮีลียะฮ์ก่อนการมาของอิสลาม

ก่อนการมาของอิสลาม วัฒนธรรมและความเชื่อของอาหรับส่วนใหญ่ในยุคญาฮิลียะฮ์ จะถือว่าเกียรติศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจนั้นอยู่ในการมีลูกผู้ชาย ส่วนการมีลูกสาวคือบ่อเกิดของความอัปยศและความไร้เกียรติ ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจะฆ่าลูกๆ ผู้หญิงของเขา

สมมติ ครอบครัวใดที่คลอดลูกสาว ครอบครัวนั้นจะถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงในยุคญาฮิลียะฮ์ ถึงขั้นที่ว่า ผู้เป็นพ่อจะทำหน้าที่ฝังลูกสาวของตนเองทั้งเป็น หากถามว่า การกระทำแบบนี้มีความเป็นมนุษย์ไหม มนุษย์จะทำไหม แน่นอนไม่ทำเพราะความเป็นมนุษย์มีอยู่ในตัวตนของเขา

นี่ก็คือความหมายที่รวมอยู่ในคำว่า ญะฮีลียะฮ์

หากจะกล่าวโดยสรุป คำว่า “ญะฮีลียะฮ์” คือ ชีวิตที่ไร้มนุษยธรรม ดั่งตัวอย่าง การไม่มีแม้แต่ความเป็นมนุษย์ ที่เราเห็นในทุกๆวัน เช่น สงครามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ประเทศหนึ่งนำระเบิดไปทิ้งในประเทศหนึ่ง บ้างระเบิดโรงพยาบาล คนตายเป็นร้อยเป็นพัน ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน

นี่คือ “สิ่งที่มนุษย์ทำ ที่เราเรียกว่า “ไร้มนุษยธรรม”

➡️ คำถาม : ทำไม คนเหล่านั้นทำได้ถึงขนาดนั้น

➡️ คำตอบ : เพราะมันไม่มีความเป็นมนุษย์ เราไม่ได้บอกว่า คนเหล่านั้น ไม่ใช่มนุษย์ แต่กรอบของมัน คือ มนุษย์ที่ไร้มนุษยธรรม ถ้าภาษาอาหรับเรียกว่า อินซานที่ไม่มี “انسانية الانسان” (อินซานียาตุลอินซาน) ซึ่งความหมายก็คล้ายกับไร้มนุษยธรรม

ดังนั้น เมื่อถูกเรียกว่า ญะฮีลียะฮ์ จึงถือว่าหนักมาก และชาวอาหรับในอดีตเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ มีสภาพสังคมแบบป่าเถื่อน ชอบทำสงครามและปล้นสะดมภ์ระหว่างเผ่า มีการฝังลูกทั้งเป็น กระหายสงคราม และอีกมากมายที่แสดงความโง่เขลา ไม่มีสติปัญญา

🔸ตัวอย่าง : วัฒนธรรมของญะฮีลียะฮ์

เรื่องราวของญะฮีลียะฮ์ที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า มักพบว่า แม้แต่พระเจ้า ในบางยุคบางสมัยก่อนหน้านบี ถึงขนาดมีวัฒนธรรมปั้นพระเจ้าจากอินทผาลัม ไหว้กัน กราบทุกวันทุกคืน ครั้นอาหารขาดแคลน พวกเขาก็เอาพระเจ้ามากินก่อน แล้วก็บอกว่า ปีหน้าจะปั้นพระเจ้าให้ใหม่

นี่คือ ญะฮีลียะฮ์ในยุคก่อนนบีประกาศอิสลาม ที่ยกมานี้ยกมาพอสังเขป แต่ถ้าอยากจะรู้รายละเอียด คำว่า “ญะฮีลียะฮ์” มากกว่านี้ ต้องไปศึกษาในยุคสมัยก่อนการปรากฎตัวของอิสลาม

🔸ตัวอย่าง : ญะฮีลียะฮ์ของมุอาวียะฮ์

ทีนี้เรามาดูในยุคของมุอาวียะฮ์ ญะฮีลียะฮ์ยุคนี้จะมาในรูป การไม่มีเมตตาธรรม การกดขี่ข่มเหง ขูดรีด หลงในชาติกำเนิด เผ่าพันธ์ุ วงศ์ตระกูล เผ่านี้ต้องดีกับเผ่านั้น นี่คือความหมายของญะฮีลีญะฮ์ ที่ชี้ถึง สิ่งเลวร้ายทั้งหมด การดำเนินชีวิต ไม่มีสติปัญญา ทว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะมนุษย์ไม่มีมะรีฟัตในอิมาม

🔶 สาระศึกษา

สิ่งที่ต้องตระหนักเกี่ยวกับ “ญะฮีลียะฮ์” ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็ตาม มีข้อสังเกตุดังนี้

๑.ญะฮีลียะฮ์ คือ การไร้สติ ไม่มีปัญญา ไม่มีคุณธรรม ไม่มีความเมตตา ไม่มีความสงสาร และอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย

๒. ญะฮีลีญะฮ์” คือ ความเลวร้ายทุกประเภทที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ดังนั้น อะไรที่ชี้ถึงความเลวร้าย เช่น รีดนาทาเร้น เอารัดเอาเปรียบ กินดอกเบี้ย อะไรทั้งหมดทุกอย่างเหล่านี้ พึงจำไว้เลยว่า อยู่ในคำว่า “ญะฮีลีญะฮ์” เพียงคำเดียว

อย่าลืมว่า เป้าหมายสำคัญประการแรกที่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ถูกส่งมาก็เพื่อปลดปล่อยแนวคิดญาฮีลียะฮ์ที่ครอบงำมนุษย์ ซึ่งถ้าจะให้เข้าใจง่าย ก็คือ นบีมาเพื่อปราบญะฮีลียะฮ์ เช่น มาปราบดอกเบี้ย มาปราบการกดขี่ มาปราบการแบ่งวรรณะ แบ่งชนชั้น แบ่งความเป็นมนุษย์ ความเป็นชาตินิยม ความหยิ่งยโส ลำพองตนคิดว่า ชาติตนสำคัญกว่าชาติอื่น อะไรต่างๆเหล่านี้และอีกมากมาย

ชัดแจ้ง นบีมาเพื่อปรับทัศนะคติความเป็นชาตินิยม เช่น คนดำไม่ได้ดีไปกว่าคนขาว คนขาวไม่ได้ดีไปกว่าคนดำ อาหรับไม่ได้ดีไปกว่าอาญัม อาญัมไม่ได้ดีไปกว่าอาหรับ ยกชนชาติหนึ่งเหนือชนชาติหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ ความเชื่อในระบอบญะฮีลียะฮ์ ซึ่งระบบนี้จะคงมีอยู่ ตราบที่เราไม่มีมะรีฟัตต่ออิมามประจำยุคของเรานั่นเอง

โปรดติดตาม Part 5

اللهم صل علی محمد وآل محمد وعجل فرجهم

เรียบเรียงโดย : Wanyamilah S.✍🏻

ถอดบทความโดย คอยรูนนีซา ธำรงทรัพย์