อัดลฺอิลาฮี (ตอนที่13)
♡ ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ♡
● ข้อพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ●
ประเด็นต่อไป เราจะพิสูจน์ในมุมมองของศาสนา หากไม่มีศาสนา มนุษย์จะเรียกร้องความยุติธรรมจากธรรมชาติ หรือสิ่งอื่นๆ แต่เพราะมีศาสนา ในที่นี้ หมายถึง ศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ฉะนั้น เมื่อมีการเรียกร้องความยุติธรรมเกิดขึ้นก็ต้องเรียกร้องจากพระผู้เป็นเจ้า แต่เบื้องต้นต้องเชื่อในการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าก่อน
เราจะยกอัลกรุอาน เพื่อให้มนุษย์ใช้สติปัญญาได้ใคร่ครวญการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า และพิสูจน์ถึงความจำเป็นของโลกหน้า “มะอาด” ในที่นี้ขอยก 3 ซูเราะฮ์ 3-4 โองการดังนี้
■ ซูเราะฮฺอัน-นะห์ลฺ โองการที่ 12
——————
وَسَخَّرَ لَكُمُ اللَّيْلَ وَالنَّهَارَ وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ ۖ وَالنُّجُومُ مُسَخَّرَاتٌ بِأَمْرِهِ ۗ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَاتٍ لِّقَوْمٍ يَعْقِلُونَ
“และพระองค์ทรงให้กลางคืนและกลางวันและดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า และหมู่ดาวถูกใช้ให้เป็นประโยชน์โดยพระบัญชาของพระองค์ แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณมากหลาย สำหรับกลุ่มชนที่ใช้ปัญญา”
คำอธิบาย : กุรอานได้พิสูจน์ถึงความจำเป็นของ “มะอาด” ในลักษณะนี้ โดยนำเสนอแก่มนุษยชาติว่า ชีวิตสุดท้าย คือ เป้าหมาย ของการสร้างมนุษย์ และหากปราศจากโลกดังกล่าว ชีวิตของมนุษย์จะจบลงแต่เพียงโลกนี้เท่านั้น ในรูปการนี้ การสร้างมนุษย์ขึ้นมา จะให้ความหมาย ถึงความเป็นโมฆะ และความไร้สาระ และพระผู้เป็นเจ้า บริสุทธิ์ห่างไกลจากการกระทำกิจ อันไร้สาระ โดยพระองค์ตรัส ดังนี้
■ ซูเราะฮฺ มุอฺมินูน โองการ ที่ 115 ความว่า
——————
أَفَحَسِبْتُمْ أَنَّمَا خَلَقْنَاكُمْ عَبَثًا وَأَنَّكُمْ إِلَيْنَا لَا تُرْجَعُونَ
“พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ”
■ ซูเราะฮฺ อัดดุคอน โองการที่ 39 อธิบายไว้ว่า
——————
مَا خَلَقْنَاهُمَا إِلَّا بِالْحَقِّ وَلَٰكِنَّ أَكْثَرَهُمْ لَا يَعْلَمُونَ
“เรามิได้สร้างทั้งสอง (ดังกล่าวนั้น) เพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อความจริง(ฮัก) แต่ว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้”
■ ซูเราะฮฺ อัดดุคอน โองการที่ 40 ความว่า
——————
إِنَّ يَوْمَ الْفَصْلِ مِيقَاتُهُمْ أَجْمَعِينَ
“แท้จริงวันแห่งการตัดสิน(จำแนก)นั้นเป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้สำหรับพวกเขาทั้งหมด”
คำอธิบาย : จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จสูงสุดตามทัศนะของศาสนาอิสลามนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในโลกนี้ ทว่าความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่โลกหน้า ถึงแม้คนที่พิการเขาอาจมีความยากลำบาก เหน็ดเหนื่อยมากกว่าคนปกติ แต่หากเราพิจารณาในมุมมองของศาสนา เรื่องความสำเร็จของมนุษย์ที่แท้จริง คือ ความสำเร็จในโลกหน้า
ดังนั้น คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ สมมุติ เรียนสูงจบดอกเตอร์ หรือได้ทำงานทำการที่มั่งคง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันว่าเข้าจะประสพความสำเร็จในโลกหน้า เพราะความสำเร็จในโลกหน้านั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขจากความสมบูรณ์ของสรีระทางร่างกาย กลับกันคนที่เกิดมาพิการ แม้เขาจะมีความยากลำบากในการพัฒนา แต่ความยากลำบากของเขานั้น จะทำให้เขาได้รับรางวัลตอบแทนที่มากกว่าคนที่ปกติ อีกทั้งเขายังจะได้รับความเมตตาที่ดีและพิเศษกว่าด้วย
อิสลามมีหลักฐานที่ยืนยันถึงผลรางวัลของผู้ที่เสียเปรียบในโลกนี้ เช่น คนที่พิการ คนที่มีความยากลำบากมากกว่า เมื่อเขาเห็นผลตอบแทนในโลกหน้า บางครั้งหากพระผู้เป็นเจ้าอนุญาตให้เขากลับมาในโลกนี้อีกครั้ง เขาอยากกลับมาในสภาพพิการเช่นเดิม
ดังนั้น ความเสียเปรียบทางด้านสรีระ จึงเป็นความเสียเปรียบที่ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานหรือเหตุผล มาขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้าได้
ข้อสังเกต ทัศนะที่ผิดพลาดนี้เกิดมาจาก การไม่เข้าใจปรัชญาของเป้าหมาย ไม่เข้าใจฮิกมะฮ์ในการสร้าง เพราะเป้าหมายหนึ่งของการมีอยู่ของความบกพร่องนั้น ก็เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักคุณค่าความสมบูรณ์ของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
☆ สมมุติ
– ถ้ามนุษย์ไม่รู้จัก คำว่า “ตาบอด” ในโลกนี้ มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักคุณค่าของการมองเห็น
– ถ้าปราศจาก คนแขนขาด มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักคุณค่าของการมีแขน
– ถ้าปราศจาก คนเป็นใบ้ มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักคุณค่าของการพูดได้
– ถ้าปราศจาก คนหูหนวก มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักคุณค่าของการได้ยิน
– ถ้าปราศจากคนบ้า มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้จักคุณค่าของการมีสติสัมปชัญญะ
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็เพื่อเตือนมนุษย์ ให้ใช้สิ่งที่มี สิ่งที่เห็น เพื่อเกิดการเรียนรู้ให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด เป้าหมายนี้ ไม่ใช่เพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นการใช้ในหนทางของการพัฒนาไปสู่ความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า หรือ เกิดประโยชน์ที่นิรันดร์ได้
☆ ตัวอย่าง “การพูดและการฟัง“
ประเด็น “การพูด” บางครั้งไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อมนุษย์เสมอไป และอาจให้โทษด้วยซ้ำ ชัดเจนว่า การพูดที่ให้คุณประโยชน์นั้น แน่นอนว่า นำไปสู่สวรรค์ ทว่าในตรงกันข้าม หากเป็นการพูดที่ก่อเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ชัดเจนว่า เป็นการพูดที่จะนำไปสู่นรกด้วย และทุกการฟัง(ได้ยิน)ก็เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณประโยชน์และนำพามนุษย์ไปสู่สวรรค์เสมอไป บางการได้ยินอาจนำมนุษย์ไปสู่นรกได้เช่นกัน
ดังนั้น การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้ามนุษย์ใช้ไม่ถูกต้อง ก็จะให้โทษกับมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้าและถ้าใช้ถูกต้องมันก็จะให้คุณประโยชน์อย่างมากมายแก่มนุษย์เช่นกัน
หากพิจารณา การดำเนินชีวิตของมนุษย์ จะมีทั้งความเสี่ยงที่จะลงนรก และมีทั้งโอกาสที่จะขึ้นสวรรค์ ซึ่งคนที่ไม่มี(คนพิการ)ในสิ่งเหล่านี้ โอกาสที่เขาจะโดนลงโทษจากสาเหตุของมันจึงไม่มี ขอยกตัวอย่างคนพิการที่เกิดมา ตาบอด เป็นใบ้ และหูหนวก
-คนตาบอด เขาจะรอดพ้นจากความผิดทางสายตา เขาจะไม่ตกนรกด้วยเหตุของสายตา
-คนเป็นใบ้ เขาจะไม่ตกนรกด้วยการนินทาให้ร้ายผู้อื่น
-คนหูหนวก เขาก็ไม่ตกนรกเพราะเขาไม่ได้ฟังเพลงที่ฮารามหรือการฟังสิ่งที่ชั่วร้ายด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า บางครั้งการฟังสิ่งฮารามเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์ถูกลงโทษและที่ลึกลงไปกว่านั้น ในวันกิยามัตมนุษย์ที่ถูกลงโทษเนื่องจากความผิดทางสายตา เป็นเพราะความไม่ระมัดระวังทางสายตา เขาจะอุทานขึ้นมาว่า “โอ้อนิจจา ฉันน่าจะเกิดมาตาบอดบนโลกนี่เสี่ยนี่กระไร”
อีกจำนวนหนึ่งถูกลงโทษ เนื่องจากความผิดทางคำพูด เขาก็อุทานว่า “โอ้อนิจจาฉันน่าจะเกิดมาเป็นใบ้“
อีกจำนวนหนึ่งเขาจะถูกลงโทษ เนื่องจากความผิดทางหู เขาจะอุทานขึ้นว่า “โอ้อนิจจาฉันน่าจะเกิดมาหูหนวกบนโลกนี้”
ความสำเร็จสูงสุดตามทัศนะของศาสนาอิสลาม ด้วยปรัชญาแห่งเป้าหมาย ผนวกกับฮิกมะห์ในการสร้าง ตรงนี้ เรามาพิจารณากันว่า ความพิการหรือความไม่พิการอะไรคือความโชคดีกว่ากัน จะเห็นได้ว่าไม่สามารถสรุปได้แค่เพียงในโลกนี้ อัลกุรอานไปถึงขั้นที่กล่าวว่า…
โองการในซูเราะฮ์อันนะบาอฺโองการที่ 40
«یا لَیتَنی کُنتُ تراباً»
“โอ้อนิจจา ฉันน่าจะเกิดขึ้นมาเป็นดินเสียดีกว่า”
คำอธิบาย : มนุษย์จะรำพันขึ้นมาว่า เสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เขาจึงถูกลงโทษ จากตรงนี้จะเห็นว่าความพิการ ความบกพร่องต่างๆไม่ได้ขัดกับความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้น หากเกิดมาตาบอด เขาก็รอดพ้นจากความผิดทางสายตา และรางวัลของคนตาบอดกับคนตาดีนั้นไม่เท่ากัน ภาระหน้าที่ก็ตามความสามารถ คนที่ปกติก็มีภาระหน้าที่ที่มากกว่า สิ่งที่สูญเสียไปจะถูกชดเชยในลักษณะนี้
ในบางครั้งมนุษย์ไม่สามารจินตนาการถึงรางวัลที่จะได้รับ เราจะยกเหตุการณ์ในยุคสมัยท่านอิมามญะฟัร อัศศอดิก(อ) มีชายตาบอดคนหนึ่งที่มีอีหม่าน มีศรัทธามาก และเขาเป็นหนึ่งในสาวกผู้ใกล้ชิดของท่านอิมามศอดิก(อ)
ชายตาบอดคนนี้ มีนามว่า “อบูบาซีร” วันหนึ่งเขาได้เข้ามาหาท่านอิมาม(อ) และได้กล่าวกับท่านอิมาม(อ)ว่า…
“ฉันรู้ ฉันเชื่อมั่นว่าพวกท่าน(อะฮฺลุลเบต) สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉันอยากจะให้ท่านทำให้ฉันมองเห็นโลกนี้”
ท่านอิมาม(อ) ตอบว่า ได้สิ ท่านอิมาม(อ)ได้เอามือลูบไปที่ดวงตาของ “อบูบาซีร” สักพักเขาก็สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามนี้ในลักษณะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากนั้นท่านอิมาม(อ)ได้บอก “อาบูบาซีร”ให้มองไปบนท้องฟ้า “อบูบาซีร” ก็ได้เห็นสรวงสวรรค์ที่อัลลอฮ์ (ซบ)ทรงเตรียมไว้สำหรับเขา
และท่านอิมาม(อ)ได้กล่าวกับ “อบูบาซีร” ว่า สรวงสวรรค์อันนั้นเป็นของผู้ที่ตาบอดในโลกนี้ ถ้าเจ้าอยากได้รางวัลอันนั้น เจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างตาบอดในโลกนี้
“อบูบาซีร” เมื่อฟังความดังนั้น จึงได้บอกกับท่านอิมาม(อ)ว่า “โปรดทำให้ฉันตาบอดเหมือนเดิมเถิด เพราะรางวัลที่จะได้รับการทดแทนนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าตาที่มองเห็นในโลกนี้”
ดังนั้น หากมนุษย์ใส่ใจเรียนรู้บริบทความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า แน่นอนว่า จะค่อย ๆ ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ชีวิตแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นกับตัวตนของเขา และ การที่มนุษย์จะเข้าใจคำตอบต่างๆได้ อย่างสมบูรณ์นั้น จำเป็นต้องใช้สติปัญญาใคร่ครวญการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าก่อน เพื่อทำความเข้าใจการทรงสร้างในทุกสรรพสิ่ง และพิสูจน์ถึงความจำเป็นของโลกหน้า
เมื่อมนุษย์เข้าใจบริบทดังกล่าวนั้น แน่นอนมนุษย์จะยอมรับในการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆอีก เพราะจำต้องเชื่อและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าก่อน มิฉะนั้น หากเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีเสียแล้ว ย่อมไม่มีพระเจ้าให้กล่าวโทษว่า “ไม่ยุติธรรม”ได้
ติดตามอ่านต่อ อัดลฺอิลาฮี (ตอนที่ 14)