บี อบี อันติ วะอุมมี (ตอนจบ)

440

บทบาททางการเมืองของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)

บทบาทสำคัญสุดท้ายที่ทิ้งไว้ให้กับชาวโลกก็คือ บทบาททางการเมืองของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ซึ่งยังไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ ที่สตรีคนหนึ่ง ลำพังตัวคนเดียว ลุกขึ้นยืนล้มล้างระบบทรราช ในวันที่บุรุษแห่งพระเจ้าไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนมาได้ ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ได้ลุกขึ้นต่อสู้กับทรราชได้ประกาศให้เห็นถึงอำนาจที่ไม่ชอบธรรมของการปกครอง เป็นลายแทงที่ทำให้มีศาสนา อันบริสุทธิ์หลงเหลือทุกวันนี้ การลุกขึ้นสู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) เป็นการลุกขึ้นสู้ที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากท่านหญิงเป็นสตรีที่จะปิดซ่อนตนเองจากสังคมสาธารณะ

เหตุการณ์มีอยู่ว่า หลังจากที่ท่านหญิงแต่งงานกับท่านอิมามอะลี(อ) ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซล) ได้แบ่งหน้าที่ “เรื่องในบ้านทั้งหมดท่านหญิง เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนเรื่องนอกบ้านทั้งหมดอะลีรับผิดชอบ”

ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ลงสูญูดขอบคุณเอกองค์อัลลอฮฺ(ซบ) ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซล) แบ่งหน้าที่นี้ ท่านนบีถามว่า ทำไมถึงดีใจขนาดนี้ งานในบ้านหนักนะลูก ท่านหญิง ตอบว่า หนักสักขนาดไหนฉันก็ดีใจ เพราะท่านแบ่งหน้าที่ให้ฉันโดยฉันไม่ต้องออกจากบ้าน นี่คือทัศนคติของ การดำเนินชีวิตโดยไม่แสดงตัวต่อสาธารณะ คือความฝันหนึ่งของท่าน หญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ไม่ออกจากบ้านได้มากเท่าไร ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)

แต่เมื่อสถานการณ์ของสังคมเปลี่ยนไป ท่านหญิงจำเป็นที่จะต้อง ลุกขึ้นต่อสู้ปกป้องอำนาจวิลายัตที่แท้จริงของ บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) เพราะหากไม่ออกมาปกป้องครั้งนี้อาจจะไม่เหลืออิสลามที่บริสุทธิ์อีกต่อไป ท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ(อ) เลือกเอาเกียรติยศของตัวเองทั้งหมด ออกมาพลี เพื่อจะรักษาอิสลามอันบริสุทธิ์ให้คงอยู่

ในสภาวการณ์เช่นนั้น ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปไม่สามารถที่จะคิดได้ทั้งในเรื่องสังคม เรื่องศาสนา เพราะเป็นสภาวะที่เกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ หมายถึง สภาวะที่ลูกสาวผู้เพิ่งสูญเสียบิดา และบิดาก็คือท่านศาสดา คือศาสนทูตของ อัลลอฮฺ(ซบ) ซึ่งในริวายะฮฺก็ได้กล่าวไว้ว่า หลังจากการประกาศอำนาจรัฐเถื่อนที่เกิดขึ้น ณ ซะกีฟะฮฺ ท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ(อ)ได้รอจังหวะให้พิธีฝังศพของท่านเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ว่าจะมีผู้ศรัทธา หรือบุรุษคนใดลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐบาลเถื่อนที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนั้นหรือไม่ !! และแล้วเมื่อไม่มีใครสักคน ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) จึงได้เริ่มภารกิจแรกทันที คือ เรียกร้องเชิญชวนบรรดาอัศฮาบให้การสัตยาบันแก่ท่านอิมามอะลี(อ)

เบื้องต้น ท่านหญิงบอกกับท่านอิมามอะลี(อ) ว่า “ให้เตรียมลาไว้ หน้าบ้าน” ท่านอิมาม ถามว่า “ท่านจะเอาไปทำอะไรหรือ ??” ท่านหญิงตอบว่า “ฉันจะไปหา บรรดาศอฮาบะฮฺที่อยู่ในเหตุการณ์ฆอดีรกุม เพื่อจะย้ำเตือนพวกเขาว่า ได้ลืมสนธิสัญญาอันนั้นแล้วหรือ ????” ท่านหญิงได้ไปเคาะประตูแต่ละบ้านของอัครสาวกจำนวนหนึ่งเพื่อย้ำเตือน แต่คำตอบที่ได้รับมา มีแต่ความผิดหวัง…… ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้ทุกคน ลืมคำประกาศของท่าน รอซูลุลลอฮฺ(ซล) ที่ฆอดีรกุม

จากนั้นท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) ก็เริ่มการต่อสู้อีกบริบทหนึ่ง คือ การต่อสู้ด้วยน้ำตา

การร้องไห้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องศึกษาทำความเข้าใจ ความโศกเศร้าในการสูญเสียท่านศาสดา ความโศกเศร้าที่ตำแหน่งของท่านอิมามอะลี(อ) นั้นถูกปล้น และความ โศกเศร้าที่ประชาชาติได้หันหลังให้กับคำสั่งเสียของศาสดา

ทำอย่างไรที่จะปลุกคนมะดีนะฮฺให้ตื่นขึ้นมา เพื่อรับรู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ??? ท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ(อ) จึงเลือกใช้น้ำตา และเป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าจริงๆ เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ท่านหญิงร้องไห้แบบไหน ในเวลาเจ็ดสิบกว่าวันที่เหลือ ร้องจนกระทั่ง ชาวมะดีนะฮฺไม่สามารถที่จะนอนหลับได้ในตอนกลางคืน และไม่สามารถ ที่จะค้าขายได้ในตอนกลางวัน

ทำให้ชาวมะดีนะฮฺมาพบกับท่านอิมามอะลี(อ) เพื่อร้องเรียนและขอร้องให้ท่านหญิงหยุดร้องไห้

โดยเสนอกับท่านอิมามอะลี(อ) ว่า ให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) เลือกว่า จะร้องไห้ในตอนกลางคืนหรือจะร้องไห้ในตอนกลางวัน เมื่อท่านอิมาม อะลี(อ) ได้ถามท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) เบื้องต้นท่านหญิง ตอบว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดการร้องไห้ของฉันครั้งนี้ได้ เพราะมูศีบัตที่เกิดขึ้นเป็นมูศีบัตที่ ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก

ถ้ามูศีบัตนี้เกิดขึ้นกลางวัน กลางวันก็จะเปลี่ยนเป็นกลางคืน ดังนั้นฉันไม่สามารถที่จะหยุดร้องไห้นี้ได้ ในที่สุดท่านอิมาม อะลี(อ) ได้สร้างกระท่อมหลังหนึ่ง นอกกุโบร์บาเกี๊ยะ ที่ห่างออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า บ้านหลังนั้นชื่อ “บัยตุลอะหฺซาน” (บ้านแห่งความโศกเศร้า) แต่วันนี้ ถูกพวกวะฮาบีตักฟีรีย์ ทำลายแล้ว

ช่วงเช้าท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) จะจับมือท่านอิมามฮาซัน(อ) ท่านอิมามฮูเซน (อ) ท่านหญิงซัยนับ(อ) ไปนั่งอยู่ที่บ้านหลังนั้นและก็ร้องไห้ให้กับมูศีบัตต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับอิสลาม กลางคืนกลับมาเสียงร้องก็อาจจะเบาลง แต่ว่าไม่สามารถที่จะหยุดเสียงร้องของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ)

ในเวลาเดียวกันกับเสียงร้องของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ไม่สามารถที่จะซื้อจิตใจของบุคคลผู้มืดบอดเหล่านั้นได้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ใดได้ นอกจากบรรดาศอฮาบะฮชั้นในเท่านั้น

เมื่อไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) ก็ได้ก้าวไป สู่อีกบริบทหนึ่ง คือออกไปปราศรัย ครั้งใหญ่ๆ ถึงสองครั้ง ขึ้นปราศรัยในมัสยิดนะบาวีในเมืองมะดีนะฮฺ เพื่อที่จะย้ำเตือน ดังนั้นเมื่อการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐ ไปถึงบรรดาทรราช ก็เริ่มมีการตอบโต้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) มากมายหลายวิธี หนึ่งในนั้น คือการยึดที่ดินฟะดักของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ) เพราะเป็นสวนที่ดินอินทผาลัมที่มีจำนวนมาก อันเป็นแหล่งทุนสำคัญ ของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ที่จะดูแลสังคมที่ปฏิเสธรัฐเถื่อนที่เกิดขึ้น ณ ซะกีฟะฮฺ

เมื่อที่ดินฟะดักถูกยึด ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) จึงถือโอกาสลุกขึ้น ทวงสิทธิของตน ทำให้ฝ่ายทรราชทำการบิดเบือนฮะดิษ และสร้าง ฮะดิษปลอมขึ้นมาเพื่อปฏิเสธการรับมรดกของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ)

สมัยท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นผู้ประกาศว่า นางคือ อัลเกาษัร นางคือ “กุร รอตา อัยนิรฺ รอซูล” นางคือส่วนหนึ่งของฉัน แต่บัดนี้ กลายเป็นผู้ถูกกดขี่ในแผ่นดิน อาณาจักรที่บิดาของตัวเองได้สร้างเอาไว้ แม้ว่าการตอบโต้จะหนักหน่วงสักขนาดไหน ก็ไม่สามารถที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ)ได้ จนกระทั่งเหล่าทรราชตัดสินใจ ที่จะทำขั้นเด็ดขาดกับท่านหญิง เพราะหาก ปล่อยให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ขับเคลื่อนอย่างอิสระเช่นนี้ต่อไป อาจจะทำลายอำนาจและความชอบธรรมในการปกครองของทรราชเหล่านี้ได้ จนในที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์ลอบเผาบ้านท่านหญิง การรังแกทุบตีท่านหญิงในรูปแบบต่างๆ ทำให้ท่านหญิงต้องเสียชีวิต(เป็นชะฮีด) ในเวลาต่อมา……

persian_typography_14_20091020_1850822965

“โอ้มะดีนะห์เมืองแห่งศาสดา โปรดบอกเราเถิดว่า
เกิดอะไรขึ้น ณ คืนนั้นที่หน้าประตูบ้าน
บุตรีของศาสดา……”


66

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปาฐกถา เนื่องในวันคล้าย วันชะฮาดัตท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) ภายใต้ชื่อ “บี อบี อันติ วะอุมมี ”

(บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี)……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..