ความรักต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) คือเงื่อนไขของการรับกาลีมะหฺ ความรักต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) คือการถูกตอบรับของการนมาซ ความรักของ อะฮฺลุลบัยตฺ(อ) คือเงื่อนไขของการยอมรับศีลอด ความรักต่อ อะฮฺลุลบัยตฺ(อ)คือเงื่อนไขในการทำอิบาดัตทุกประเภท เงื่อนไขทั้งหมดคือมีความรักต่ออะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ปราศจากความรักอันนี้มนุษย์จะไม่ประสบความสำเร็จ และจะไม่ได้รับรางวัลใดๆเลยในการทำอิบาดัตของเขา ซึ่งสิ่งนี้เรามีฮาดิษและหลักฐานยืนยันเป็นจำนวนมาก จากนั้น ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็เดินทางต่อไปยังเมืองมัชฮัด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีพี่น้องอะหฺลิลซุนนะหฺนับหมื่นคนได้ บันทึกฮาดิษบทนี้ แสดงให้เห็นในยุคนั้นว่า อุลามาอฺซุนนีก็ได้ทำการ บันทึกฮาดิษต่างๆเหล่านี้จากอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าสถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) นั้นเป็นที่ถูกรู้จักและเป็นที่ยอมรับมาตั้งแต่ในยุคต้นๆ
เมื่อท่านอิมามริฎอ(อ) ได้พลิกสถานการณ์การเมืองในฐานะเป็นทั้งรัชทายาทและราชบุตรเขยก็ได้อาศัยตำแหน่งดังกล่าวในการดึงดูดจิตใจของชาวโคราซาน จนกระทั่ง ความรู้ อัจฉริยภาพและอะไร ต่อมิอะไร ทำให้ท่านอิมามริฎอ(อ) เริ่มถูกยอมรับ ถึงแม้ว่าในยุคนั้นในแผ่นดินโคราซานจะมีชีอะฮฺอาศัยอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ทั้งหมด การปรากฏตัวของท่าน อิมามริฎอ(อ) ทำให้สถานภาพของ อะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ได้ถูกรู้จักนอกแผ่นดินอาหรับมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อิสลามที่สถานภาพของ อะฮฺลุลบัยตฺ(อ)นั้นถูกทำให้รู้จักนอกแผ่นดินอาหรับ และค่อยๆเป็นที่ เลื่องลือ เป็นที่รักของประชาชาติมุสลิม ทั่วอาณาจักรอิสลาม
มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่พิสูจน์และสร้างความตระหนกตกใจให้กับมะอฺมูน อัรรอชีด เป็นอย่างมาก มีอยู่วันหนึ่งมะอฺมูน อัรรอชีด ได้สั่งให้ท่านอิมามริฎอ(อ) ออกไปนำนมาซอีดแทนคอลีฟะหฺ ในเบื้องต้นอิมามริฎอ(อ) ปฏิเสธ แต่ก็มีการคะยั้นคะยอให้ไป ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ยังปฏิเสธ แต่ถูกบังคับให้ไป ในที่สุดเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ได้กล่าวว่า ถ้าจะให้ฉันไป ฉันจะออกไปด้วยวิธีของฉัน มะอฺมูนก็ยอม ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ได้ออกจากบ้านของท่านโดยไม่สวมใส่รองเท้า และกล่าวตักบีรตลอดเส้นทางก่อนที่จะถึง “มูศ็อลลา” (สถานที่นมาซ) ประชาชนก็เริ่มทยอยออกมาจากบ้าน จากตรอกซอกซอยต่างๆตามหลังท่านอิมามริฎอ(อ) เป็นจำนวนหลายหมื่นคน ด้วยการกล่าวตักบีร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร พร้อมๆกันอย่างยิ่งใหญ่
บรรดาสายลับของมะอฺมูนได้รายงานเหตุการณ์ดังกล่าว ว่า ถ้าท่าน อิมามริฎอ(อ) ไปถึงที่นมาซในสภาพเช่นนั้นแล้ว สถานภาพของมะอฺมูนก็จะสั่นคลอน มะอฺมูนจึงมีคำสั่งให้นำตัวท่านอิมามกลับมา และไม่อนุญาตให้ อิมามไปนำนมาซอีกแล้ว มะอฺมูนก็เริ่มเห็นและเข้าใจว่าการนำตัวท่านอิมามริฎอ(อ) มาสู่เมืองมัชฮัดนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เป็นการทำให้สถานภาพของอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) นั้นถูกเปิดเผยและเป็นที่ประจักษ์ชัดมากยิ่งขึ้น
พึ่งจำไว้ว่าเราไม่ต้องกลัวกระแสการต่อต้าน ไม่ว่าวิธีใดและในทีวีช่องไหน บทสรุปสุดท้ายขอยืนยัน ว่า พวกเขาช่วยเผยแพร่ให้กับชีอะฮฺ ถ้าเราจะมองกลับไปเหมือนในอเมริกาและยุโรปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่ได้มีการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อสร้างกระแส โรคกลัวอิสลาม Islamicphobia ทำให้คนอเมริกาและคนยุโรปกลัวและเกลียดอิสลาม แต่วันนี้ผลกลับตรงกันข้าม หลังจากเหตุการณ์ในวันที่ 11 กันยา มีผู้คนเข้ารับอิสลามเพิ่มจำนวนมาก
เป้าหมายในการระเบิดตึกเวิลด์เทรดนั้นเพื่อที่จะลดการเจริญเติบโตของอิสลามในยุโรปและอเมริกา แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์วันที่ (9/11) จำนวนคนยุโรปที่เข้ารับอิสลามกลับเพิ่มมากขึ้น ในฝรั่งเศสมีมุสลิมมากถึง 3 ล้านคน และเพิ่มขึ้นชนิดที่ไม่สามารถหยุดกระแสนี้ได้ ตอนนี้นักวิชาการของพวกเขาบอกว่าประเทศฝรั่งเศสน่ากลัวที่สุด เพราะมีการคิดคำนวณถึงขั้นที่ว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ประชาชนมุสลิมจะเป็น majority ในฝรั่งเศส และเป็นไปได้ว่าฝรั่งเศสจะเป็นประเทศอิสลามประเทศแรกในยุโรป
กระแสการต่อต้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งการเข้ารับอิสลามได้ วันนี้หากเราพิจารณาดู ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ กลุ่มก่อการร้ายไอซิซใหม่ๆ มีบุคคลจำนวนมากต่างมีความภาคภูมิใจ มีการขึ้นรูปโปรไฟล์ไอซิสกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย แต่วันนี้กลับ ลบทิ้งหมด เกือบจะไม่มีแม้นแต่รูปโปรไฟล์ไอซิสให้เห็นแล้ว แม้แต่ รูปเดียว ดังนั้นศัตรูจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการทำงานของพวกเขาอย่างแน่นอน
ยุคของท่านอิมามริฎอ(อ) ก็เป็นเช่นนี้ ในช่วงแรกคิดว่าสามารถเอาชนะอิมามได้แล้วด้วยการนำอิมามริฎอ(อ) มายังโคราซาน แต่ผล ออกมากลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เสมือนกับเป็นการนำท่านอิมาม ริฎอ(อ) มาให้คนได้รู้จัก ให้อาณาจักรเปอร์เซียได้รู้จักความยิ่งใหญ่ของลูกหลานนบี ทั้งในด้านความรู้ อัจฉริยภาพ ทั้งอะไรต่อมิอะไร เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้มะอฺมูนก็รู้แล้วว่าได้พลาดอย่างยิ่งใหญ่ จึงรีบหาแนวทางเพื่อทำลายท่านอิมามริฎอ(อ) ในรูปแบบต่างๆ
ช่วงเวลานั้นประชาชนในแผ่นดินโคราซานได้ยอมรับท่านอิมาม ริฎอ(อ) เกือบทั้งหมด มะอฺมูน อัรรอชีด จึงได้รวบรวมอาเล็มอุลามาอฺทั่วทั้งแผ่นดิน ทั่วทั้งอาณาจักรอิสลาม เพื่อทำการถกเรื่องราวศาสนา แล้วก็ประกาศให้ทุกคนมารับชม บรรดาศัตรูยังไม่รู้จักสถานภาพของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) จึงคิดว่าท่านอิมามต้องแพ้อย่างแน่นอน ทว่าหลังจากการถกและเสวนาทางด้านวิชาการศาสนาแล้ว บรรดาอุลามาอฺที่มะอฺมูนเชื้อเชิญมาทั้งหมดนั้นกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างอัปยศอดสู อีกทั้งเป็นการยืนยันให้กับชาวโคราซานว่า ความรู้แห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อ)นั้นเหนือจินตนาการของมนุษย์ และเป็นการโฆษณาให้กับท่านอิมาม ริฎอ(อ) ในทางอ้อม
มะอฺมูนยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ได้จัดเสวนาครั้งใหม่กับผู้รู้ต่างศาสนา เชิญทั้งบาทหลวงที่มีความรู้ที่สุดของคริสต์เตียน เชิญบาทหลวงที่มีความรู้มากที่สุดของยิว และคิดว่าท่านอิมามไม่สามารถที่จะถกกับชาวยิวได้ ผลที่ออกมาก็ตรงกันข้ามกับความต้องการของมะอฺมูน เมื่อถกกับชาวยิว ท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ได้ยกหลักฐานจากคัมภีร์ “เตารอต” เมื่อถกกับคริสต์เตียนท่านอิมามริฎอ(อ) ก็ใช้หลักฐานจากคัมภีร์ “อินญีล” มาหักล้าง จนกระทั่งบรรดาชาวคริสต์เตียนที่ถกกับท่านอิมาม ริฎอ(อ) ต้องขอความรู้ที่มีอยู่ในคัมภีร์อินญีลจากท่านอิมามริฎอ(อ)
นอกจากนั้นมะอฺมูนก็ยังเชิญผู้รู้ของชาวฮินดูมาถกในเรื่องปรัชญากับท่านอิมาม ซึ่งสามารถกล่าวโดยสรุปว่ามะอฺมูนพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำลายอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) แต่แผนการดังกล่าวกลับกลายเป็นการเสริมความยิ่งใหญ่ให้กับอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) จนกระทั่งท่านอิมามริฎอ(อ) ได้กุมหัวใจของชาวโคราซานในยุคนั้น และแผ่นดินโคราซานในอดีต ซึ่งในวันนี้คือแผ่นดินอิหร่านได้กลายเป็นแผ่นดินที่มีความรักต่อ อะฮฺลุลบัยต(อ) ทั่วทั้งแผ่นดิน
ในวันนั้นท่านอิมามริฎอ(อ) เข้าสู่โคราซานเพื่อจะสร้างประชาชาติอิหร่าน ซึ่งขอสรุปว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท่านอิมามริฎอ(อ) มุ่งสู่แผ่นดินโคราซานนั้นเพื่อที่จะสร้างประชาชาติชาวอิหร่าน เพื่อที่จะทำให้ ชาวอิหร่านนั้นอยู่กับอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) อย่างแท้จริง
ทำไมท่านอิมามริฎอ(อ) ต้องไปสร้างประชาชาติชาวอิหร่านในที่แสนไกลเช่นนั้น ??? แน่นอน อิมามริฎอ(อ) ก็รู้แล้วว่า วันหนึ่งแผ่นดินนี้ จะต้องเป็นที่รองรับการมาของท่านอิมามมะฮฺดี(อ) สิ่งต่างๆเหล่านี้มันมีคำพยากรณ์ มีฮาดิษต่างๆมากมาย ความเกี่ยวพันของทั้งสองได้ถูกกล่าวมาตั้งแต่สมัยของรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ซึ่งรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า เมื่อโองการนี้ลงมา
ความว่า และถ้าพวกเจ้าหันหลังกลับละทิ้งศาสนา พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า
หมายความว่า ถ้าพวกเจ้าหันหลังให้กับสัจธรรม และคำสั่งสอนของท่านนบี อัลลอฮฺ(ซบ) จะทรงเปลี่ยนประชาชาติใหม่มาแทนพวกเจ้า เมื่อเจ้าทรยศต่ออิสลาม พวกเจ้าไม่พร้อมที่จะปกปักษ์พิทักษ์รักษา อัลลอฮฺ(ซบ) ก็จะเปลี่ยนประชาชาติใหม่ และพวกเขาจะไม่เหมือนกับพวกเจ้า (พวกเจ้าในที่นี้หมายถึงพวกอาหรับ) บรรดาศอฮาบะฮฺสงสัยว่าเป็นอย่างไรหรือ ??? เราจะถูกเปลี่ยน หรือ ??? ทั้งนี้ความยิ่งใหญ่ของอิสลามจะไม่อยู่ในอาหรับอีกต่อไป สิ่งนี้พูดมาตั้งแต่สมัยนบี สมัยท่านอิมามอะลี(อ)
ถ้าจะเข้าใจบทบาทของท่านอิมามริฎอ(อ) ได้อย่างแท้จริงก็ต้องเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ต้องเข้าใจโองการนี้ของอัลกุรอานและต้องเข้าใจฮาดิษต่างๆ ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)และอะอิมมะฮฺ(อ) อธิบายเกี่ยวกับโองการนี้
จริงๆแล้วมีมากมายหลายโองการแต่เราขอสรุปเพียงแค่โองการนี้โองการเดียว ดังนั้นเมื่อเขาถามว่า “ยา รอซูลุลลอฮฺ(ศ็อลฯ)” ใครกันที่อัลลอฮฺ(ซบ) จะเลือกมาแทนพวกเรา ถ้าพวกเราปฏิเสธ??? ซึ่ง คำตอบ เป็นที่ยอมรับอย่างเอกฉันท์ทั้งในฮาดิษของชีอะฮฺและซุนนี ว่าในเวลานั้น ท่านนบีนั่งอยู่ใกล้กับท่านซัลมาน อัลฟาร์ซียฺ แล้ว ท่านได้ตบไปที่ไหล่ บางฮาดิษรายงานว่าตบไปที่หลัง บางฮาดิษกล่าวว่าตบไปที่น่อง อาเล็มอุลามาอฺให้ทัศนะว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงว่าเกิดขึ้นหลายครั้ง และไม่ใช่ว่าฮาดิษรายงานไม่ตรงกัน มีการถามหลายครั้งว่าใครคือประชาชาติที่อัลลอฮฺ(ซบ) จะมาทดแทน …. !!! ท่านนบี(ศ็อลฯ)กล่าวว่า บุคคลท่านนี้และประชาชาติของเขา และขอสาบาน ว่า ความเข้มแข็งของบุคคลเหล่านี้ มาตรแม้นว่าอิมาน(ความศรัทธา)อยู่ถึง ดาวลูกไก่ สุภาพบุรุษจากพวกเขาเหล่านี้ ก็จะคว้ามันมาได้อย่างแน่นอน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ปาฐกถา เนื่องวันคล้าย วันชะฮาดัตของท่านอิมาม อาลี บินมูซา อัรริฎอ(อ) (บรรยายโดย ฮุจญตุลอิสลามวัลมุสลีมีน ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี)………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ติดตามอ่านต่อ จอมราชันย์แห่งโคราซาน จักรพรรดิแห่งอาหรับและอะญัม (ตอนที่4)